Loading

 

มองเหตุการณ์แผ่นดินไหวจากคำสอนอิสลาม

มองเหตุการณ์แผ่นดินไหวจากคำสอนอิสลาม

 

            เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นนอกชายฝั่งทะเลแปซิฟิกใกล้กับประเทศญี่ปุ่นขนาดความรุนแรง 8.9 ริกเตอร์ มีผลทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่สูงประมาณ 10 เมตร เคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 800 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สึนามิดังกล่าวซัดคลื่นเข้าชายฝั่งประเทศญี่ปุ่นทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างมากมายตามมา เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เป็นเหตุการณ์ที่หลายฝ่ายไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นและรุนแรงถึงเพียงนี้หลังจากที่สึนามิได้เคยทำลายชีวิตผู้คนและทรัพย์สินต่างๆอย่างมากมายมาแล้วในเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ดร.มิชิโอะ อาชิซึเมะ ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวของประเทศญี่ปุนกล่าวว่า ก่อนหน้านี้คณะกรรมการติดตามแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น คาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหว ขนาดไม่เกิน 8 ริคเตอร์ บริเวณชายฝั่งนอกเมืองเซนได ในอีก 30 ปีข้างหน้า นับว่าการเกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้เหนือความคาดหมาย (ข้อมูลจาก http : // www .matichon.co.th/news)

เมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้เกิดความสูญเสียตามมาอย่างมากมายเช่นนี้ขึ้น ทำให้ผู้คนหลายๆคน รัฐบาลหลายๆ ประเทศมีความตระหนักและมีการถกเถียงกันในประเด็นดังกล่าวในวงกว้างมากขึ้น มีบางคนเขียนบทความด้วยหัวข้อที่ว่า ฤานี่คือสัญญาณวันสิ้นโลก บางคนกลับให้ความสนใจ เมื่อกล่าวถึงวันสิ้นโลกซึ่งก่อนหน้านี้ผู้คนไม่ให้ความสนใจมากนัก หนำซ้ำยังปฏิเสธและไม่มีความเชื่อใดๆ กับเรื่องนี้ นั่นอาจจะเป็นเพราะได้รับอิทธิพลมาจากหนังฝรั่งที่มีบทเกี่ยวกับวันสิ้นโลก โดยเฉพาะหนังเรื่อง น้ำท่วมโลก วันสิ้นโลก 2012 และเรื่องอื่นๆ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้เกิดสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ ทำให้กรอบการสนทนาไม่จำกัดเฉพาะในเรื่องของภัยพิบัติทางธรรมชาติเพียงเท่านั้น แต่ยังได้มีการเชื่อมโยงในเรื่องของแผ่นดินไหวเข้ากับมิติของศาสนา เพราะฉะนั้น เราลองมาดูว่า ศาสนาอิสลามมีทัศนะและมีความเห็นในเรื่องนี้ว่าอย่างไร และศาสนาอิสลามได้พูดถึงแนวโน้มแผ่นดินไหวในอนาคตอย่างไรบ้าง ก่อนที่เราจะกล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรามาดูสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวตามหลักวิทยาศาสตร์ว่าเป็นอย่างไร

 

การเกิดแผ่นดินไหวตามหลักวิทยาศาสตร์

แผ่นดินไหว คือ ปรากฏการณ์ที่แผ่นเปลือกโลกเกิดการสั่นสะเทือน เนื่องมาจากการเลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งมีสาเหตุดังต่อไปนี้

1. การขยายตัวและหดตัวของเปลือกโลกไม่เท่ากัน

ก่อให้เกิดแรงดันซึ่งส่งผลกระทบต่อรอยแยกในชั้นหิน และรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกทำให้แผ่นเปลือกโลกสั่นสะเทือน ซึ่งบางครั้งอาจเคลื่อนที่ชนกัน บางครั้งอาจทรุดตัวหรือยุบตัวลง แรงกระทบกระแทกนี้ส่งอิทธิพลไปยังบริเวณรอบๆ ซึ่งคือแผ่นดินไหว

 2. การเคลื่อนที่ของหินหนืดหรือแมกมา

ก่อนและหลังการระเบิดของภูเขาไฟ แมกมาจะเคลื่อนที่อย่างรุนแรงจึงเกิดแผ่นดินไหว เมื่อเกิดแผ่นดินไหวจะเกิดคลื่นแผ่นดินไหวออกไปรอบบริเวณจุดกำเนิดแผ่นดินไหว คลื่นนี้จะเคลื่อนที่ผ่านหินพื้นดินได้ดี การวัดความสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวใช้เครื่องมือที่เรียกว่า ไซส์โมกราฟ (seismographs)

รูปการเคลื่อนที่ของหินหนืด

การวัดความสั่นสะเทือนมีมาตราวัดอยู่ 2 มาตรา คือ ริคเตอร์ และ เมอแคลลี่ ผลกระทบของการเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง คือ เปลือกโลกโค้งงอ แผ่นดินถล่ม เกิดคลื่นขนาดใหญ่ใน ทะเล เขื่อน ถนน รางรถไฟ ท่อประปา สายไฟฟ้า โทรศัพท์ สายเคเบิลถูกทำลายหมด รูปปั้น ตึกสูงๆ อาคารบ้านเรือนพังเสียหาย คน สัตว์ ตายเป็นจำนวนมาก

แผ่นดินไหวอาจเกิดระดับที่ไม่รุนแรงหรือรุนแรง และพบว่าบริเวณรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกมีโอกาสได้รับผลกระทบจากการเกิดแผ่นดินไหวมากกว่าบริเวณอื่นๆ (ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://variety.teenee.com/science/1978.html)

เมื่อแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในทะเลก็สามารถทำให้เกิดคลื่นตามมาหรือที่เรียกว่าสึนามิได้ ยิ่งแผ่นดินไหวมีความรุนแรงมากขึ้นเท่าไหร่ ความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดสึนามิรุนแรงมีมากขึ้นเท่านั้น

คลื่นสึนามิ (Tsunami)  หมายถึง  คลื่นซึ่งเคลื่อนตัวในมหาสมุทรด้วยความเร็วสูงมาก และมีพลังรุนแรง สามารถเคลื่อนที่ไปได้เป็นระยะทางไกลๆ เมื่อเคลื่อนที่เข้าสู่บริเวณชายฝั่งจะทำให้เกิดเป็นคลื่นขนาดใหญ่มากที่เรียกกันว่า คลื่นยักษ์ ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนที่อาศัยอยู่ตามบริเวณชายฝั่ง คลื่นชนิดนี้จึงแตกต่างจากคลื่นธรรมดาที่เกิดจากแรงลมพัดผ่านเหนือพื้นผิวน้ำในท้องทะเล คำว่า  tsunami มาจากภาษาญี่ปุ่น แปลว่า คลื่นอ่าวจอดเรือ (Harbour Waves)  ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณชายฝั่งของประเทศญี่ปุ่นที่เป็นอ่าวจอดเรือทางด้านมหาสมุทรแปซิฟิก มักได้รับภัยจากคลื่นชนิดนี้อยู่บ่อยๆ จึงเรียกชื่อเช่นนั้น ต่อมาชื่อนี้ได้นำไปใช้แพร่หลายจนเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไป สำหรับประเทศไทยราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติศัพท์ของคำว่า Tsunami เป็นภาษาไทยว่า คลื่นสึนามิ (ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://guru .sanook.com /enc_preview.php?id=1225)

นอกจากแผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นอันมีผลมาจากความเป็นไปตามธรรมชาติตามที่กล่าวมา แผ่นดินไหวก็ยังเกิดขึ้นอันมีผลมาจากกระทำของมนุษย์อีกด้วย นั่นก็คือ แผ่นดินไหวอาจจะเกิดขึ้นอันมีสาเหตุมาจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ท้องทะเลและการทำเหมืองแร่ ซึ่งสาเหตุอันหลังนี้เกิดขึ้นมาจากการกระทำของมนุษย์ แต่จะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่า ทั้งแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุการทดลองระเบิดนิวเคลียร์หรือการทำเหมืองแร่และแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นมาจากความเป็นไปตามธรรมชาติตามที่กล่าวมาข้างต้นล้วนแล้วมีสาเหตุมาจากการกระทำของมนุษย์ทั้งสิ้น เราลองมาดูข้อมูลต่อไปนี้เราจึงจะรู้ว่า  ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

 

การเกิดแผ่นดินไหวในทัศนะอิสลาม

            ศาสนาอิสลามไม่ได้ปฏิเสธถึงสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวตามหลักวิชาการวิทยาศาสตร์  หากแต่ศาสนาอิสลามส่งเสริมให้เรียนรู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่าง เรียนรู้ปรากฏการณ์ต่างๆ ตามธรรมชาติ รวมถึงการเกิดแผ่นดินไหวด้วยเช่นกัน เพราะปรากฏการณ์ต่างๆ คือ สิ่งที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงให้บังเกิดและพระองค์ได้ทรงกำหนดปรากฏการณ์ทุกอย่างตามเหตุและผลที่ได้วางเอาไว้ อัลลอฮฺ ตะอาลาได้ตรัสในอัลกุรอานว่า

﴿الَّذِي لَهُ مُلْكُ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ وَلَمْ يَتَّخِذْ وَلَدًا وَلَمْ يَكُن لَّهُ شَرِيكٌ فِي الْمُلْكِ وَخَلَقَ كُلَّ شَيْءٍ فَقَدَّرَهُ تَقْدِيرًا﴾ ﴿الفرقان: 2﴾

“พระองค์เป็นผู้ครอบครองบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และพระองค์จะไม่ตั้งผู้ใดเป็นบุตร และสำหรับพระองค์นั้น ไม่มีหุ้นส่วนร่วมกับพระองค์ในการครองอำนาจ และพระองค์ทรงให้บังเกิดทุกสิ่ง แล้วทรงกำหนดมันให้เป็นไปตามกฎสภาวะ” (อัล-ฟุรกอน : 2)

           การเรียนรู้ปรากฏการณ์ต่างๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่มนุษย์หรือเพื่อออกห่างและป้องกันอุบัติภัยที่จะเกิดขึ้นจากปรากฏการณ์เหล่านั้น เป็นสิ่งที่อนุญาตในอิสลาม หากแต่มุสลิมทุกคนพึงตระหนักอยู่เสมอว่า เหตุการณ์ภัยพิบัติต่างๆ ในบางครั้งอยู่เหนือความสามารถของมนุษย์ที่จะควบคุมได้ แต่นั่นอาจจะเป็นการลงโทษจากพระเจ้าหรือเป็นบททดสอบจากพระองค์

 แผ่นดินไหวคือบทลงโทษจากพระเจ้า

ภัยพิบัติหรือประกฏการณ์ต่างๆที่ได้ทำลายชีวิตผู้คน สรรพสัตว์และทรัพย์สินมากมายที่เกิดขึ้นในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนหนึ่งนั้นก็คือ เป็นการลงโทษจากพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ อันเนื่องมาจากมนุษย์ละเลยข้อห้ามของพระเจ้าผู้สร้าง ดั่งเช่น เหตุการณ์น้ำท่วมโลกที่ได้เกิดขึ้นกับชนของศาสดานูหฺหรือโนอาหณ์ หรือธรณีพลิกที่เกิดขึ้นกับชนชาวสะดูมของศาสดาลูฏซึ่งมีผลทำให้เกิดทะเลสาบเดดซีจนถึงปัจจุบัน  หรือชนชาติอ๊าดที่มีรูปร่างใหญ่โต สามารถสร้างบ้านที่มีเสาหินที่สูงและแข็งแรงและสร้างอาคารที่สูงแข็งแรง จนพวกเขาคิดว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะมาทำลายพวกเขาได้ แต่ในที่สุด อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ส่งความหายนะผ่านภัยพิบัติจนพวกอ๊าดและที่อยู่อาศัยของพวกเขาย่อยยับอันตธานหายไป นี่คือเหตุการณ์ส่วนหนึ่งจากหลายๆ เหตุการณ์ที่มีกล่าวในอัลกุรอาน และหลายๆ เหตุการณ์ที่ไม่ได้มีกล่าวในอัลกุรอาน เช่น เหตุการณ์หินลาวาที่เกิดจากภูเขาไฟระเบิดไหลท่วมทับเมืองปอมเปอีทำให้ผู้คนล้มตายทั้งเมือง เมื่อมีการขุดพบเมืองดังกล่าว จึงปรากฏเห็นโพรงซึ่งเป็นร่างกายของมนุษย์ที่ได้ตายมาเป็นเวลานานและได้เปื่อยยุ่ยเป็นโพรง เมื่อมีการเทปูนเข้าไปในโพรงดังกล่าวจึงปรากฏเห็นรูปร่างของผู้คนในลักษณะต่างๆ ที่แสดงถึงการตายของผู้คนในขณะนั้น บางคนกำลังอยู่ในความหวาดกลัวสุดขีด บางคนกำลังวิ่งหนี บางคนกำลังดื่มเหล้า บางคนกำลังสมสู่อยู่กับหญิงโสเภณี บางคนกำลังร้องรำทำเพลง ลักษณะการตายของชาวปอมเปอีสามารถแสดงถึงสภาพการใช้ชีวิตของพวกเขาในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งหลายๆ อย่างแสดงถึงการละเมิดข้อห้ามของพระเจ้าของผู้คนในขณะนั้น ซึ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลให้พระเจ้าลงโทษมนุษย์อย่างเจ็บปวดที่สุด

การลงโทษของพระเจ้าได้กำเนิดเกิดขึ้นบนโลกใบนี้กับมนุษย์ผู้ละเมิดข้อห้ามมีตลอดมาจนมาถึงยุคสมัยของมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ศาสนทูตคนสุดท้าย ท่านได้สั่งสอนและได้ตักเตือนผู้คนในการละเมิดข้อห้ามของพระเจ้าผู้สร้าง เผื่อว่า มนุษย์จะตระหนักถึงหน้าที่ในฐานะผู้ถูกสร้างที่มีต่อพระเจ้าผู้ทรงสร้าง

สำหรับในปัจจุบัน เราจะพบว่า มนุษย์ได้ล่วงละเมิดข้อห้ามของพระเจ้าอย่างกว้างขวาง เช่นการเปลื้องผ้าอาบน้ำต่อหน้าผู้คนอย่างไม่มียางอาย เสพนารีเพศอย่างผิดกฎหมายของพระเจ้าอย่างโจ๋งครึ่ม  เล่นการพนัน ดื่มเหล้าเอาเป็นเอาตาย  ทำธุรกรรมทางการเงินด้วยระบบดอกเบี้ย และอื่นๆ อีกมากมาย

นอกจากมนุษย์จะละเมิดข้อห้ามของพระองค์แล้ว มนุษย์บางพวกบางกลุ่ม มีความยะโสโอหัง ไม่เห็นพระเจ้าอยู่ในสายตา กลับนึกว่า ตัวเองเป็นผู้ที่มีความสามารถ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมาจากมันสมองของพวกเขาเอง ไม่สำนึกบุญคุณของพระเจ้าที่พระองค์ได้ประทานมันสมองและความสามารถให้แก่พวกเขา ซึ่งไม่แตกต่างอะไรนักกับชาวอ๊าดที่กล่าวมาแล้ว เหล่านี้คือสาเหตุของการลงโทษของพระองค์

ในบางครั้ง การลงโทษของอัลลอฮฺที่มีต่อมนุษย์ เผื่อว่ามนุษย์จะหวนกลับไปสู่พระองค์สำนึกในบุญคุณของพระองค์ ไม่ยะโสโอหัง ไม่อวดดี ไม่ท้าทายพระเจ้า และกลับไปอยู่ในโอวาทของพระองค์  อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้กล่าวว่า

﴿وَلَنُذِيقَنَّهُم مِّنَ الْعَذَابِ الْأَدْنَىٰ دُونَ الْعَذَابِ الْأَكْبَرِ لَعَلَّهُمْ يَرْجِعُونَ﴾ ﴿السجدة: ٢١﴾

ความว่า “และแน่นอนเราได้ให้การลิ้มรสแก่พวกเขาด้วยบทลงโทษอันเล็กน้อยซึ่งยังมิใช่บทโทษที่ใหญ่หลวง (นั่นคือ บทลงโทษในโลกหน้า) เผื่อว่าพวกเขาจะกลับมายังแนวทาง(ของพระเจ้า)”

 ในขณะเดียวกัน กรณีที่เราเห็นว่ามีผู้ศรัทธาบางพวกต้องโดนภัยพิบัติเช่นเดียวกับเหล่าผู้ปฏิเสธศรัทธาด้วยนั้น ดังกล่าวนั้นเป็นเหตุปกติที่อัลลอฮฺจะทรงลงโทษพวกเขาหรืออาจจะเป็นบททดสอบที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะอัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿وَاتَّقُواْ فِتْنَةً لاَّ تُصِيبَنَّ الَّذِينَ ظَلَمُواْ مِنكُمْ خَآصَّةً وَاعْلَمُواْ أَنَّ اللهَ شَدِيدُ الْعِقَابِ﴾ (الأنفال : 25 )

ความว่า “จงหวั่นเกรงต่อบทลงโทษที่จะไม่โดนเฉพาะบรรดาคนที่อธรรมในหมู่พวกเจ้าเท่านั้น และจงรู้เถิดว่า แท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ที่หนักหน่วงยิ่งในการลงโทษ” (อัล-อันฟาล 25)

 

และยังมีหะดีษที่รายงานโดยอบู ดาวูด จากอบู มูซา เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«أُمَّتِي هَذِهِ أُمَّةٌ مَرْحُومَةٌ، لَيْسَ عَلَيْهَا عَذَابٌ فِي الْآخِرَةِ، عَذَابُهَا فِي الدُّنْيَا الْفِتَنُ وَالزَّلَازِلُ وَالْقَتْلُ»

ความว่า “ประชาชาติของฉัน(หมายถึงผู้ศรัทธา)เป็นประชาชาติที่ได้รับพระเมตตา(จากอัลลอฮฺ) พวกเขาจะไม่ถูกลงโทษในวันอาคิเราะฮฺ โทษของพวกเขาจะเกิดขึ้นก่อนในโลกนี้ กล่าวคือ การที่พวกเขาโดนบททดสอบ แผ่นดินไหว และการคร่าชีวิต” (อบู ดาวูด หมายเลข 3730 และ เศาะฮีหฺ อัล-ญามิอฺ หมายเลข 1396)

 แผ่นดินไหวและความหายนะต่างๆ มีสาเหตุมาจากการกระทำของมนุษย์

ดังที่กล่าวมาแล้วว่า แผ่นดินไหวที่มีสาเหตุมาจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์และการทำเหมืองแร่หรือแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นอันมีสาเหตุมาจากความเป็นไปตามธรรมชาติ ล้วนแล้วมาจากการกระทำของมนุษย์ สำหรับแผ่นดินไหวที่มีสาเหตุมาจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์และการทำเหมืองแร่มีสาเหตุมาจากการกระทำของมนุษย์อย่างไม่มีข้อสงสัย  ส่วนแผ่นดินไหวอันที่สองนั้นอันมีผลมาจากการทำบาปและไม่สำนึกผิดของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้าผู้สร้างจึงเป็นผลทำให้พระเจ้าต้องลงโทษตามการกระทำของพวกเขา 

ความหายนะดังกล่าวมิใช่แผ่นดินไหวเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงทุกอย่างที่ทำให้เกิดผลร้ายแก่มนุษย์  ในปัจจุบันเราจะพบว่า ภาวะของโลกกำลังร้อนขึ้น อันเนื่องมาจากการใช้น้ำมัน  การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ การใช้ไฟฟ้า การตัดไม้ทำลายป่าและอื่นๆ ล้วนแล้วเป็นการกระทำของมนุษย์ ซึ่งผลจากภาวะโลกร้อนจะทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย และสามารถทำให้น้ำทะเลหนุนเข้าชายฝั่งและทำให้แผ่นดินหลายพื้นที่บนโลกใบนี้ต้องจมอยู่ใต้บาดาลในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และทำให้ระบบของธรรมชาติ ดังเช่น ปรากฏการณ์แอลนิโญ่ มีผลทำให้เกิดฝนฟ้าตกไม่ตามฤดูกาล เกิดน้ำท่วมในช่วงฤดูร้อน เป็นต้น  

มนุษย์หลายๆ คนต้องเป็นมะเร็งหรือเป็นโรคอื่นๆ อันเนื่องมาจากการใช้สารพิษในผัก การฉีกสารฟอร์มาลีนในปลา การใช้วัตถุกันเสียในอาหาร การผลิตโรงงานนิวเคลียร์ทำให้สารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหล และอื่นๆอีกมากมายล้วนแล้วเป็นการกระทำของมนุษย์ที่สามารถรู้ได้ด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ ส่วนการกระทำของมนุษย์อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสาเหตุของความหายนะตามที่กล่าวมานั่นก็คือ ผลบาปของมนุษย์ที่มีพระเจ้า ดั่งตัวอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้กล่าวว่า

﴿ظَهَرَ الْفَسَادُ فِي الْبَرِّ وَالْبَحْرِ بِمَا كَسَبَتْ أَيْدِي النَّاسِ لِيُذِيقَهُم بَعْضَ الَّذِي عَمِلُوا لَعَلَّهُمْ يَرْجِعُونَ﴾ ﴿الروم: ٤١﴾

ความว่า “ความหายนะและภัยพิบัติต่างๆ เกิดขึ้นทั้งบนบกและในทะเล ล้วนแล้วมาจากการกระทำของมนุษย์ เพื่อที่มนุษย์ได้ลิ้มรสจากบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาได้กระทำมา เผื่อว่าพวกเขาจะสำนึกและหวนกลับ(ไปสู่แนวทางของพระเจ้า)” (อัรรูม : 41)

 

แผ่นดินไหวคือสัญญาณวันสิ้นโลก

            นอกจากแผ่นดินไหวหรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอื่นๆ เป็นบทลงโทษของพระเจ้าที่เกิดขึ้นมาจากน้ำมือของมนุษย์(หมายถึงมนุษย์เป็นสาเหตุแล้ว) แผ่นดินไหวยังเป็นสัญญาณวันสิ้นโลกอีกด้วย

            ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้กล่าวว่า

«لا تقوم الساعة حتى...و تكثر الزلازل» (رواه البخاري: 989)

“วันกิยามะฮฺจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะเกิดแผ่นดินไหวอย่างมากมายและถี่ขึ้น” (อัลบุคอรีย์ : 989)

           

วันสิ้นโลกจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะปรากฏสัญญาณต่างๆ บ่งบอกว่า วันสิ้นโลกจะมาถึงแล้ว หนึ่งในสัญญาณเหล่านั้นคือ แผ่นดินไหวจะเกิดมากขึ้นและจะถี่มากขึ้นเรื่อยๆ ดังที่ปรากฏในหะดีษข้างต้น 

            เมื่อกล่าวถึงความถี่ของแผ่นดินไหวเป็นสัญญาณวันสิ้นโลก เราลองมาดูสถิติการเกิดแผ่นดินไหวนับตั้งแต่ 10 ปีที่ผ่านมา จนถึงปี พ.ศ. 2553 ว่าเป็นอย่างไร? ความถี่เพิ่มมากขึ้นตามที่ได้กล่าวมาในหะดีษของท่านนบีบทนี้หรือไม่?

 

สถิติแผ่นดินไหวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ถึงปี พ.ศ. 2553 มีดังนี้

26 มกราคม 2544 ภาคตะวันตกของรัฐคุชราต อินเดีย ถูกถล่มด้วยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ มีผู้เสียชีวิต 25,000 คน บาดเจ็บอีก 166,000 คน

26 ธันวาคม 2546 แผ่นดินไหวเมืองแบม ของอิหร่าน วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.7 ริกเตอร์ มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 31,884 คน บาดเจ็บอีกว่า 18,000 คน

26 ธันวาคม 2547 แผ่นดินไหวใต้ทะเล ความรุนแรงถึง 9.1 ริกเตอร์เกิดขึ้นนอกชายฝั่งเกาะสุมาตรา และยังก่อให้เกิดสึนามิคร่าชีวิตคนไปถึง 220,000 คนในหลายๆ ประเทศแถบมหาสมุทรอินเดีย โดยเฉพาะที่ในอินโดนีเซียมีผู้เสียชีวิตถึง 168,000 คน

28 มีนาคม 2548 แผ่นดินไหวรุนแรง 8.6 ริกเตอร์ในเกาะเนียส นอกชายฝั่งเกาะสุมาตรา มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 900 คน

8 ตุลาคม 2548 แผ่นดินไหว 7.5 ริกเตอร์คร่าชีวิตชาวปากีสถานมากกว่า 75,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจังหวัดนอร์ท เวสต์ ฟรอนเทียร์ และรัฐแคชเมียร์ โดยอีกกว่า 3.5 ล้านคนกลายเป็นคนไม่มีที่อยู่

27 พฤษภาคม 2549 ธรณีพิโรธ วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.3 ริกเตอร์ในยอร์กยาการ์ตา ของอินโดนีเซีย คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 6,000 คน และอีก 1.5 ล้านคนต้องกลายเป็นคนไร้ที่อยู่

17 กรกฎาคม 2549 แผ่นดินไหวใต้ทะเลรุนแรง 7.7 ริกเตอร์ นอกชายฝั่งเกาะชวาของอินโดนีเซีย ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ สังหารผู้คนไปไม่ต่ำกว่า 596 คน บาดเจ็บอีกกว่า 9,500 คน ผู้คนต้องไรที่อยู่อาศัยอีกร่วม 74,000 คน

6 มีนาคม 2550 แผ่นดินไหว 6.3 ริกเตอร์ ถล่มเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย ทำให้บ้านเรือนพังราบ และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 70 คน

2 เมษายน 2550 หมู่เกาะโซโลมอนตะวันตก เผชิญภัยพิบัติสึนามิ จากแผ่นดินไหวรุนแรง 8.0 ริกเตอร์ คร่าชีวิตชาวเกาะไปมากกว่า 50 คน และอีกนับพันคนต้องอพยพย้ายถิ่น

3 กุมภาพันธ์ 2551 แผ่นดินไหว วัดความรุนแรงได้ 6.1 ริกเตอร์ เกิดขึ้นที่ทางตะวันออกของประเทศคองโก และทางตะวันตกของรวันดา มีผู้เสียชีวิต 45 คน และอีกหลายพันคนไร้ที่อยู่อาศัย

12 พฤษภาคม 2551 แผ่นดินไหว 8.0 ริกเตอร์ ที่มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน มีผู้เสียชีวิต และสูญหายไม่น้อยกว่า 87,000 ราย

29 ตุลาคม 2551 เกิดแผ่นดินไหว 6.4 ริกเตอร์ สร้างความเสียหายให้ทางตะวันตกเฉียงใต้ของปากีสถาน มีผู้เสียชีวิตเกือบ 300 คน และผู้คนไร่ที่อยู่อาศัยหลายหมื่นคน

6 เมษายน 2552 เกิดแผ่นดินไหว 5.8 ริกเตอร์ มีผู้เสียชีวิตเกือบ 300 คนในเมืองลาควิลา และเมืองใกล้เคียงของอิตาลี

2 กันยายน 2552 ที่เกาะชวา เกาะหลักของอินโดนีเซีย ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว 7.0 ริกเตอร์ ที่ทำให้เกิดโคลนถล่ม มีผู้เสียชีวิต123 คน

29 กันยายน 2552 เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ หลังเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 8.0 ริกเตอร์ เหตุการณ์นี้สร้างความเสียหายให้หมู่บ้าน และรีสอร์ตจำนวนมากในซามัว และหมู่เกาะข้างเคียงในมหาสมุทรแปซิฟิก มีผู้เสียชีวิต 186 คน

30 กันยายน 2552 เกิดแผ่นดินไหว 7.6 ริกเตอร์ ถล่มเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,100 คน (ข้อมูลสถิติข้างต้นได้มาจากเว็บไซต์ http://archive.voicetv.co.th/content/)

12 มกราคม 2553 เกิดแผ่นดินไหวที่ "เฮติ"​ ขนาด 7.0 ริกเตอร์ สร้างความเสียหายมากมายมหาศาล โดยศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากกรุงปอร์โตแปรงซ์เมืองหลวงของประเทศเฮติ ทั้งนี้ ได้มีการประมาณว่า มีผู้ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งนี้มากกว่า 3 ล้านคน รัฐบาลเฮติรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตเกือบ 3 แสนคน ผู้บาดเจ็บอีกกว่า 3 แสนคน และอีกกว่า 1 ล้านคนยังไม่มีที่อยู่อาศัย

เดือนต่อมาในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.8 ริกเตอร์ที่นอกชายฝั่งแคว้นเมาเลประเทศชิลี จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายของทรัพย์สินชนิด "ราบพนาสูญ"​ที่น่าตกใจกว่าความเสียหายซึ่งมากมายมหาศาลแล้ว เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้แกนโลกเอียงไปจากตำแหน่งเดิม 3 นิ้วส่งผลให้ระยะเวลาสั้นลงไป 1.26 ไมโครวินาที (1 ไมโครวินาที เท่ากับ 1 ในล้านวินาที) เลยทีเดียว

ทิ้งท้ายกับภัยธรรมชาติในวันที่ 31 มีนาคม 2553 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในอ่าวเบงกอล วัดขนาดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.8 ริคเตอร์ที่หมู่เกาะอันดามันแอนด์ นิโคบาร์ ในอ่าวเบงกอล

เดือนถัดมาเรียกว่าภัยธรรมชาติหายใจรดต้นคอโลกใบนี้ราวกับโกรธแค้น วันที่ 7 เมษายน 2553 เมื่อเวลา 05.15 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ขณะที่คนกำลังหลับใหลเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวนอกชายฝั่งของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย มีความรุนแรง 7.8 ริกเตอร์ ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหลังจากนั้นเกิดคลื่นสึนามิ สูง 1.5 ซม.ใกล้ศูนย์กลางแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นคลื่นขนาดเล็ก

ในวันเดียวกันที่ประเทศจีนเกิดแผ่นดินไหวซ้ำอีก  มีความรุนแรง 6.7 หรือ 7.1 ริกเตอร์ บริเวณเขตปกครองตนเองยูซู มณฑลชิงไห่ สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเวลา 07.49 น. (ตามเวลาในท้องถิ่น) สำนักข่าวซินหัวของประเทศจีน รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ 2,220 ราย สูญหาย 70 ราย และบาดเจ็บ 12,135 ราย ซึ่งในที่นี้บาดเจ็บสาหัสเกือบ 2 พันราย

วันที่ 1 มิถุนายน 2553 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.4 ริกเตอร์ที่นอกหมู่เกาะอันดามันของอินเดียที่ระดับความลึก 127 กิโลเมตร และมีศูนย์กลางแผ่นดินไหวห่างประมาณ 120 กิโลเมตร จากเมืองพอร์ตแบลร์ของหมู่เกาะอันดามัน     

วันที่ 9 มิถุนายน 2553 เกิดแผ่นดินไหวขนาดเกือบ 6 ริกเตอร์ ที่บริเวณประเทศฟิลิปปินส์ นอกจากนั้นยังเกิดแผ่นดินไหวที่เกาะวาเนาตู (Vanautu) ขนาด 6.0 ริกเตอร์อีกต่างหาก

วันที่ 12 มิถุนายน 2553 ราวตี 1 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.5 ริกเตอร์ ที่นอกชายฝั่งประเทศอินเดีย ซึ่งห่างจากซีกตะวันตกของหมู่เกาะนิโคบาร์ไปประมาณ 15 กิโลเมตรที่ความลึก 35 กิโลเมตร

วันที่ 16 มิถุนายน 2553 เกิดเหตุแผ่นดินไหวบริเวณเกาะไบแอ็ก (Biak) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะปาปัว วัดความสั่นสะเทือนได้ 6.2 ริกเตอร์

เดือนกรกฎาคม วันที่ 14 เกิดเหตุน้ำท่วม และดินถล่มจากฝนตกหนักทางภาคใต้ของจีน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 400 คน

วันเดียวกัน เหตุการณ์แผ่นดินไหวอินโดนีเซียขนาด 5.6 ริกเตอร์

25 ตุลาคม 2553 แผ่นดินไหวที่อินโดนีเซีย ขนาดความรุนแรง 7.7 ริกเตอร์

27 ตุลาคม 2553 สึนามิถล่มซ้ำที่หมู่เกาะ เมนตาไว ประเทศอินโดนีเซีย ความรุนแรงถึง 7.2 ริกเตอร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 108 คน และสูญหายราว 500 คน (ข้อมูลจากเว็บไซต์http://www.thaniyo.com/index.php/2009-05-13-14-51-39/211-50-)

เมื่อเราดูข้อมูลสถิติแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ถึง ปี พ.ศ. 2553 มีเพิ่มมากขึ้น และรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเข้าปี 2554 มาได้แค่สามเดือนผลปรากฏว่า ได้เกิดแผ่นดินไหวแล้วในรอบสามเดือนคือ วันที่ 22 ก.พ. 2554 แผ่นดินไหว 6.3 ริคเตอร์ ที่เมืองไคร์สเชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ หลังจากนั้นเพียง 2 สัปดาห์เศษ ตามด้วยแผ่นดินไหว  5.8 ริคเตอร์ ที่เมืองยูนาน ประเทศจีน (ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://news.impaqmsn.com /articles_hn.aspx?id=405681&ch=hn) และต่อมาเกิดแผ่นดินไหวที่ทำให้เกิดคลื่นยักษ์ขนาดใหญ่ที่ประสบแก่ชาวญี่ปุ่นที่ผ่านมา และก็ยังเกิดแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่นตามมาอีกสองสามครั้งและเกิดขึ้นที่ประเทศพม่าทำให้มีผู้เสียมากกว่าร้อยคน ตามข้อมูลของนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินได้กล่าวว่า ในอนาคตข้างหน้า แนวโน้มการเกิดแผ่นดินไหวจะเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีบางคนเขียนบทความด้วยหัวข้อที่ว่า ฤาปี 2554 จะเป็นปีแห่งการเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มของแผ่นดินไหวในปีนี้และปีต่อๆ ไป

ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้กล่าวว่า  โลกนี้จะไม่สูญสิ้นไปนอกจากจะต้องเกิดแผ่นดินไหวหรือแผ่นดินสูบครั้งใหญ่ถึงสามครั้ง หนึ่งครั้งเกิดขึ้น ณ แผ่นดินตะวันออก หนึ่งครั้งเกิดขึ้น ณ แผ่นดินตะวันตก และหนึ่งครั้งเกิดขึ้น ณ แผ่นดินตอนกลาง ซึ่งคำกล่าวของท่านนบีดังกล่าวนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนหลังจากที่แผ่นดินไหวได้เกิดถี่ขึ้นและมากขึ้น ส่วนจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่นั้นไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่สามารถล่วงรู้ แต่ที่รู้ได้ นั่นก็คือ ดูจากสัญญาณต่างๆ ที่เป็นสัญญาณวันสิ้นโลก และหนึ่งในนั้นคือการเกิดแผ่นดินไหวถี่ขึ้นตามที่กล่าวมา  

 

สรุป

            แผ่นดินไหวเป็นกำหนดการของอัลลอฮฺที่มีผลมาจากการกระทำของมนุษย์ และแผ่นดินไหวก็ยังเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่สามารถบ่งบอกว่า โลกนี้ใกล้ถึงวันอวสานไปทุกทีแล้ว  ซึ่งสามารถสังเกตได้จากการเกิดมากขึ้นและถี่ขึ้น

 

...........................................................

 

 

ผู้ตรวจทาน : ซุฟอัม อุษมาน

คัดลอกจาก : http://IslamHouse.com/339726

 

 

Maintained by: e-Daiyah Group (1429 H - 2008).