Loading

 

บทนำ - ชนในยุคแห่งชัยชนะ

เพื่อนของฉันกล่าวว่า “ความวุ่นวายแพร่กระจายไปทั่ว ความเศร้าโศกเสียใจแผ่คลุมทุกหัวระแหง" หลังจากเขาเห็นเหตุการณ์หลั่งเลือดในเบรุต และโศกนาฏกรรมในศ็อบรอและชาติลา เป็นการทารุณอย่างเหี้ยมเกรียม กระแสโลหิตแห่งอิสลามหลั่งรินโดยมิสามารถคำนวณได้ เหตุการณ์ครั้งนั้นได้พรากชีวิตเด็ก ผู้หญิง คนชรา อย่างไม่มียางอายหรือความหวาดหวั่นต่อสิ่งใด บ้านเรือนถูกทำลายพังพินาศ ทรัพย์สินเสียหายย่อยยับ การย่ำยีบีฑาแพร่กระจายออกไป ถึงแม้จะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นกับชนชาติอาหรับโดยเฉพาะ มันก็เหมือนกับการกระทำต่อมุสลิมโดยภาพรวม ความตายของพวกเขาช่างเปราะบางเหลือเกิน ประหนึ่งปีกของแมลงวัน โลกใบนี้ดูเหมือนจะใกล้ถึงวันอวสานเข้าทุกทีแล้ว แต่แม้ว่าจากซีกโลกตะวันออกถึงซีกโลกตะวันตกจะสั่นสะเทือนไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวสักปานใด โลกทั้งใบก็ยังคงเงียบกริบ ไม่มีใคร ไม่มีผู้ใดกล้าปริปากพูด ท่านไม่เห็นดอกหรือ ? ท่านไม่ได้ยินดอกหรือ ?” ฉันกล่าวว่า “หามิได้ ฉันเห็น ! ฉันได้ยิน ! แต่ฉันก็มิต่างอะไรจากคนอื่น ต้องจำนนทนอาศัยอยู่กับความเจ็บปวดด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว เหมือนเรือนร่างถูกเผาผลาญ กระดูกถูกบดบี้ เมื่อฉันเห็นท่าทีของอาหรับที่ต่างผินหลังให้แก่กัน นั่นก็แสดงให้เห็นถึงลางบอกเหตุแห่งความอ่อนแอของมุสลิม ! ก่อนหน้านี้ประเทศอิสลามถูกยัดเยียดสงครามถูกกรีดบาดแผลเอาไว้ เมืองต่าง ๆ ถูกโจมตีเผาผลาญ มัสยิดถูกทำลาย ผู้รูกั๊วะ ผู้สุญูดถูกเข่นฆ่าล้างผลาญ เกียรติของหญิงสาวผู้ศรัทธาถูกทำลายย่ำยี ถึงกระนั้น เราก็ไม่เห็นใคร ไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องใด ๆ จากอาหรับและบรรดามุสลิมที่จะลุกขึ้นมาเพื่อคัดค้าน หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อแสดงจุดยืนของพวกเขา เพื่อขัดขวางความเหี้ยมโหดทารุณนั้น หรือช่วยเหลือต่อผู้ที่อ่อนแอ ที่มีมาและที่มองเห็นก็คือความเงียบสนิทเหมือนอยู่ในกุโบร์ที่อ้างว้างท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด

ดังนั้นหากท่านได้ยินเสียงร้องตะโกนด่าทอซึ่งกันและกันของพวกเขา และวันหนึ่งพวกท่านเห็นพวกเขาเคลื่อนไหวด้วยพละกำลังอย่างห้าวหาญ เพื่อที่จะรบราซึ่งกันและกัน เหมือนดั่งพวกเขาต้องการกระทำให้ตรงกันข้ามกับแบบอ่ย่างของบรรดาศอฮาบะฮฺของท่านรอซูลุลลอฮฺ ซึ่งบรรดาชนเหล่านั้น “เป็นผู้เข้มแข็งกล้าหาญต่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา เป็นผู้เมตตาสงสารระหว่างพวกเขาเอง” (อัลฟัตหฺ / 29 ) แต่นี่พวกเขากลับแข็งกร้าว กล้าหาญต่อเฉพาะพวกเขา โค้งศีรษะนอบน้อมคารวะต่อบรรดาผู้ที่เป็นศัตรูของพวกเขา แท้จริงเกียรตินั้นเป็นของบรรดาผู้ศรัทธา และความตกต่ำเป็นของบรรดาผู้ปฏิเสธ ! แลดูเหมือนพวกเขาชมชอบลักษณะบุคลิกภาพของยะฮูดีย์ ซึ่งอัลลอฮฺได้บอกลักษณะของพวกเขาไว้ก่อนหน้านี้ “การเป็นศัตรูระหว่างพวกเขากันเองนั้นรุนแรงนัก พวกเจ้าคิดว่าพวกเขารวมตัวกันเป็นปึกแผ่น แต่(ความจริงแล้ว)หัวใจของพวกเขาแตกแยกกัน ทั้งนี้เพราะพวกเขาเป็นหมู่ชนที่ไม่ได้ใช้ปัญญาใคร่ครวญ” (อัลฮัชรฺ / 14)

เพื่อนของฉันกล่าวว่า “แต่ทว่า ความอธรรมที่เห็น จะเป็นครั้งสุดท้ายกระนั้นหรือ ? ค่ำคืนอันมืดมิดเช่นนี้จะมีแสงสว่างจากแห่งหนใดมาสาดส่องละหรือ ? ประชาชาติจะรู้และตระหนักถึงทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายของพวกเขาล่ะหรือ ? พวกเขาสามารถรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูแทนที่จะมารบกันเองได้หรือ ? พวกเขาคิดถึงตัวเอง หลังจากที่พวกเขาลืมประวัติศาสตร์ของตัวเองมาเนิ่นนานได้กระนั้นหรือ !? พวกเขาสามารถลบล้างความตกต่ำที่เกิดขึ้นจากความแตกแยกในอดีตด้วยกับเกียรติแห่งชัยชนะของอิสลามได้กระนั้นหรือ ? พวกเขาสามารถลบริ้วรอยของความพ่ายแพ้ และความตกต่ำที่ผูกมัดพวกเขามาเป็นเวลาเนิ่นนานด้วยกับวันที่ลำแสงสีทองผ่องอำไพได้ประกายสาดส่องไปทั่ว เหมือนกับวันที่ท้องฟ้าสว่างสมัยท่านคอลิดในสงครามยัรมูก ท่านซะอัดในสงครามคอดีซียะฮฺ ท่านอัมรฺในสงครามอัจญนาดีน ท่านตอริคในสมรภูมิอันดาลุส ท่านศอลาฮุดดีนในหิฏฏีน ท่านคิฏซฺในอัยน์ญาลูต และท่านมุฮัมมัด อัลฟาติหฺในคิสฏ็อนฏีนียะฮฺ ได้กระนั้นหรือ ?...”

ฉันกล่าวกับเขาว่า ... “โอ้เพื่อนรัก...ท่านอย่าได้หมดหวัง วัฏจักรที่อัลลอฮฺทรงสรรค์สร้างพระองค์จะทรงต่อท้ายค่ำคืนที่มืดมนด้วยกับรุ่งอรุณของยามฟ้าสาง และหลายโมงยามที่ความมืดสนิทมาปกคลุมนั้นมันเป็นแค่เพียงเวลาไม่กี่นาทีก่อนตะวันขึ้นของยามรุ่งอรุณ แต่ทว่าสำหรับอัลลอฮฺผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงสร้างทรงบริหารกฎแห่งจักรวาลนั้นหนักแน่นไม่สั่นคลอน วัฏจักรแห่งพระองค์มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นจำเป็นที่พวกเราต้องเอาใจใส่ต่อกฎนั้น และปฏิบัติต่อมันด้วยกับความรู้อย่างจริงจัง เคร่งครัดและมั่นใจ... ซึ่งฉันขอเน้นสองประเด็น ณ โอกาสนี้ นั่นคือ ...”

Maintained by: e-Daiyah Group (1429 H - 2008).