Loading

 

กลุ่มชนนักปฏิบัติและสร้างทีมงาน

กลุ่มชนที่ลูกหลานของเขาไม่ได้หยุดอยู่เพียงการพรรณนาถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตกาล หรือไม่ได้จมปลักอยู่กับความโศกเศร้าเสียใจต่อความพ่ายแพ้ตกต่ำที่กำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน และไม่ได้นั่งรอความหวังต่อชัยชนะที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ทว่าเป็นกลุ่มชนที่เข้าร่วมขบวนการฟื้นฟูด้วยความทุ่มเทเสียสละไม่ใช่ด้วยการอวดดีดูถูก เข้าร่วมปฏิบัติไม่ใช่เพียงแค่ด้วยการพูดโว แท้จริงวีรบุรุษคือผู้กล่าวว่า “นี่คือผลงานของฉัน” ไม่ใช่ได้แค่เพียงกล่าว “นี่เป็นผลงานของพ่อฉัน” ที่มาของชัยชนะ เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวของวันนี้ แต่งแต้มเติมเต็มความฝันของวันพรุ่ง และจะบรรลุความสำเร็จได้ด้วยการมุ่งมั่นพยายาม ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยวิธีการที่ไร้สาระตลกโปกฮา เกิดขึ้นด้วยกับการสร้างสรรค์ไม่ใช่ทำลาย กระทำด้วยความสงบนิ่งมิใช่เที่ยวแหกปากตะโกนร้อง อีมานที่แท้จริงนั้นจะฝังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ และจำแสดงออกซึ่งความเชื่อมั่นด้วยการกระทำ อัลลอฮฺมิได้บันดาลมวลมนุษย์มาเพื่ออื่นใดยอกจากเพื่อให้มาปฏิบัติงาน ยิ่งกว่านั้น มิได้กำหนดพวกเขามานอกจาก “เพื่อเราจะทดสอบพวกเขาว่า ผู้ใดในหมู่พวกเขามีผลงานที่ดีเยี่ยม” (อัลกะฮฺฟี / 7) จากเหตุผลดังกล่าวจึงนับได้ว่า การปฏิบัติงานจึงเป็นฟัรฏู การปฏิบัติคุณงามความดีคืออิบาดะฮฺ และการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันเป็นการญิฮาด พวกเขามั่นใจว่าผลบุญจากการประกอบคุณงามความดีจะไม่สูญหายและไม่ถูกอธรรมแม้สักเพียงเล็กน้อยเท่าผงธุลี และแน่นอนอัลลอฮฺจะให้รอซูลและผู้ที่ศรัทธาเห็นการงานของพวกเขา.

กลุ่มชนที่มีความเชื่อมั่นต่อการปฏิบัติงานแบบระบบญามาอะฮฺสำหรับปกปักษ์สาส์นแห่งอิสลาม และร่วมทวงความยิ่งใหญ่แห่งอิสลามคืนมา จึงเป็นหน้าที่และความจำเป็น ภารกิจในการทำงานระบบญามาอะฮฺนับเป็นพื้นฐานสำคัญ เป็นกฎข้อบังคับของศาสนา และความจำเป็นของระบบนี้คือต้องวางอยู่บนพื้นฐานของสถานการณ์ฯในปัจจุบัน การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในระดับปัจเจกชน ถึงแม้ว่าเป็นพื้นฐานสำคัญ แต่ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จได้นอกจากต้องดำเนินไปภายใต้อ้อมกอดของระบบญามาอะฮฺ

พวกเขาจะศึกษาหาความรู้จากคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้าโดยพระองค์ทรงสนทนา / โดยตอบโต้กับพวกเขาด้วยกับสำนวนที่เป็นหมู่คณะ (ญามาอะฮฺ) “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย” จนกระทั่งพวกเขาเกิดความรู้สึกว่า พวกเขาเยมอภาคกันในการตอบสนองคำสั่งใช้ของอัลลอฮฺ และหยุดกระทำจากสิ่งต้องห้าม เช่นกัน พวกเขาศึกษาได้จากคัมภีร์ของพวกเขาว่าต้องกระซิบกระซาบอย่างใกล้ชิดขณะที่พวกเขาอ่านซูเราะฮฺ อัลฟาติหะฮฺในทุกครั้งที่ละหมาดด้วยกับสำนวนเป็นหมู่คณะ “เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราเคารพภักดีและเฉพาพระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ ขอพระองค์ทรงแนะนำแก่พวกเราซึ่งแนวทางอันเที่ยงตรง” (อัลฟาติหะฮฺ / 5-6) เขากล่าวในนามหมู่คณะ ถึงแม้ว่าเขาอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ในส่วนลึกของเขายังคงดำเนินไปภายใต้ระบบญะมาอะฮฺ โดยที่เขากล่าวออกมาจากปลายลิ้น ทำให้ตนเองถูกหลอมรวมไปในหนทางแห่งประชาชาติ โดยที่เขาซ่อนเร้นคำว่า “ฉัน” เพื่อใช้คำว่า “พวกเรา” ให้ปรากฏเด่นชัดขึ้นมาแทนที่

และพวกเขาศึกษาเรียนรู้จากคัมภีร์แห่งพระผู้อภิบาลถึงการยึดมั่นในสายเชือกของอัลลอฮฺโดยพร้อมเพรียงกัน และไม่แตกแยก ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องคุณธรรมและความยำเกรง ตักเตือนกันเรื่องสัจธรรมและความอดทน จะไม่แตกแยกเสมือนกับการแตกแยกที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มาก่อนพวกเขา พวกเขาจะไม่ทะเลาะวิวาทซึ่งกันและกัน และจะไม่กระทำการใด ๆ ที่จะนำพาไปสู่การแตกแยกซึ่งเป็นผลให้เกิดการบ่อนทำลายความเป็นปึกแผ่น.

แม้พวกเขาจะมีเพียงคนเดียว แต่จะเพิ่มขึ้นด้วยกับเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง การดำรงอยู่อย่างลำพังอาจจะอ่อนแอ แต่มันจะแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยกับพลังแห่งญามาอะฮฺ เสียงร้องตะโกนเพียงคนเดียวอาจจะเบา แต่หากร้องตะโกนพร้อมกันเป็นญามาอะฮฺ เสียงนั้นก็จะก้องกังวาน แท้จริงพระหัตถ์ของอัลลอฮฺอยู่พร้อมกับญามาอะฮฺ หมาป่าจะเลือกกินแกะที่อยู่ตัวเดียวเพียงลำพัง แต่หากอยู่กันเป็นฝูงแกะมันย่อมไม่กล้ากรายกล้ำ ความเป็นปึกแผ่นจะมาทดแทนความอ่อนแอของคนจำนวนน้อย ส่วนเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่ประชาชาติอิสลามร่วมฝันฝ่านั้นคือ การปลดปล่อยสู่ความเป็นเอกภาพ ภราดรภาพ ร่วมฟื้นฟูและพัฒนาให้สัจธรรมเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ปกครองภายใต้หลักการอิสลาม และเผยแพร่ให้กระจายออกไป ภารกิจอันใหญ่หลวงนี้จะสำเร็จมิได้ นอกจากจะต้องมีการทุ่มเทเสียสละของญามาอะฮฺและสิ่งที่จำเป็นก็จะไม่สมบูรณ์ขึ้นได้นอกจากจะต้องมีมัน ดังนั้นความเป็นญามาอะฮฺถือเป็นวายิบที่จะต้องก่อสร้างขึ้นมาให้จงได้

ญามาอะฮฺ จะสอนพวกเขาให้ศึกษาโลกแห่งความเป็นจริง กรองสถานการณ์ให้เข้าใจว่ากลุ่มชนผู้อธรรมเขาจะรวมตัวกันในเรื่องของความอธรรม ดังนั้นเหมาะสมยิ่งกว่า ที่กลุ่มชนแห่งสัจธรรมจะต้องรวมตัวกันบนพื้นฐานของสัจธรรม

สมรภูมิครั้งสำคัญคือการรวบรวมกำลังพลที่อยู่ท่ามกลางความแตกแยก กระจัดกระจาย เพื่อร่วมกันเผชิญหน้ากับศัตรู “แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้ที่ต่อสู้ในหนทางของพระองค์เป็นแถวเดียวกัน ประหนึ่งพวกเขาเป็นอาคารที่ยึดมั่นอย่างแข็งแรง” (อัศศ็อฟ / 4)

ก้อนอิฐที่อยู่อย่างกระจัดกระจาย ถึงแม้จะมีจำนวนมากมาย หรือแต่ละก้อนจะมีความแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็มิใช่อาคารบ้านเรือนที่จะยังประโยชน์อันใดให้แก่มนุษย์ได้ หากเราจะเอาประโยชน์จากมันก็จะต้องจับมาก่อให้ก้อนหนึ่งยึดเหนี่ยวอยู่กับอีกก้อนหนึ่งอย่างเป็นระบบ เป็นไปตามหลักวิชาสถาปัตยกรรม เป็นไปหรือตามแปลนที่ถูกเขียนไว้

ดังนั้นพวกเขาจะต้องมุ่งมั่นต่อการค้นหาแนวร่วมที่มีความละม้ายคล้ายคลึงกับพวกเขาโกยโดยเฉพาะกลุ่มที่กำลังเพรียกหาสัจธรรม คัดค้านต่อความอธรรมทั้งหลายแหล่ และเรียกร้องสู่ความดีงามปฏิเสธความชั่วช้าสามานย์ กำชับกันในเรื่องของคุณธรรม ห้ามปรามกันในเรื่องของความอธรรม ทุ่มเทเสียสละ รวบรวมกำลังกายและกำลังใจ เพื่อที่จะทำให้อิฐที่วางเรียงรายอยู่กลับมาเป็นผนัง – กำแพงอันแข็งแกร่ง และดำเนินไปในแนวทางของระบบญามาอะฮฺ พวกเขาลงมือปฎิบัติกันอย่างนิ่งสงบ ให้ชีวิตเชื่อมโยงระหว่างสัจธรรมกับความอดทน ระหว่างความยากลำบากกับความง่ายดาย ปลูกฝังเรื่องความอดทนอดกลั้น และร่วมกันต่อสู้อย่างมิรู้จักเหน็ดอย่างเมื่อยล้า มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสถาปนาคุณธรรมและความยำเกรง ยืนเคียงข้างกันทั้งในยามทุกข์และยามสุข ผู้ศรัทธากับผู้ศรัทธาเป็นประดุจดั่งอาคารบ้านเรือนซึ่งยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกัน

Maintained by: e-Daiyah Group (1429 H - 2008).