Loading

 

ภาคที่ 1 : สังคมโลกยุคก่อนนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

1.1 ยุคญาฮิลียะฮฺ มนุษยชาติริมปากเหวแห่งหายนะ

คริสต์ศตวรรษที่ 6 และ 7 ถือเป็นยุคมืดหรือช่วงเสื่อมถอยที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์โลกอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง มนุษยชาติตกอยู่ในห้วงเหวแห่งวิกฤตการณ์และวังวนแห่งความตกต่ำอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายศตวรรษ อำนาจใดบนโลก ก็มิอาจฉุดรั้งและช่วยเหลือให้พ้นจากห้วงปากเหวแห่งความหายนะได้ ยิ่งนานวัน ภาวะความตกต่ำและการร่อนถลำจมดิ่งก็ยิ่งหนักหน่วงรุนแรง มนุษย์ในห้วงศตวรรษนี้ ลืมแม้กระทั่งพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ทำให้เขาลืมตนเองและชะตากรรมของชีวิต สูญเสียปัญญาความยั้งคิด และไม่สามารถแยกแยะระหว่างความดี ความชั่ว และสิ่งถูก สิ่งผิด


คำเรียกร้องของเหล่าศาสนทูตต้องเงียบเชียบลงช่วงเวลาหนึ่ง ดวงประทีปที่เคยจุดไว้ต้องมืดดับลงด้วยลมพายุต่างๆที่โหมพัดกระหน่ำ แม้นพอมีอยู่ก็เป็นเพียงเศษสะเก็ดไฟอันริบหรี่ที่สามารถส่องแสงสว่างได้แค่เฉพาะหัวใจบางดวง บางบ้านเรือนในบางเมืองเท่านั้น ขณะที่นักการศาสนาทั้งหลายบ้างก็ปลีกวิเวกจากสนามชีวิตจริง จำกัดตัวอยู่ในวัดวาอาราม และโบสถ์วิหารหวังเพียงรักษาไว้ซึ่งหลักธรรมคำสอนและชีวิตตนจากความโกลาหลอลหม่านทางโลก มุ่งแต่เทศนาคำสอนและการปฏิบัติธรรมสงบจิต หลีกห่างจากความวุ่นวายของชีวิตที่ต้องประสบพบเจอ หรือไม่ก็ตกอยู่ในสมรภูมิสู้รบระหว่างศาสนาและการเมือง จิตวิญญาณและวัตถุ ขณะอีกส่วนหนึ่งซึ่งคงอยู่ในกระแสชีวิต กลับมีท่าทีที่ประจบสอพลอต่อพวกกษัตริย์ และผู้มีอำนาจทางโลก ซ้ำยังคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันในสิ่งที่เป็นบาปและเป็นศัตรู และโกงกินทรัพย์สินของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันโดยมิชอบ


มนุษยชาติมิได้เดือดร้อนเนื่องจากการแปรเปลี่ยนไปของการปกครอง ผู้นำ หรือเนื่องความสุขสันต์บันเทิง และความสบายที่หลุดลอยจากบุคคลหนึ่งไปเป็นของอีกบุคคลหนึ่งซึ่งต่างเชื้อชาติกัน หรือจากชนกลุ่มหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มหนึ่งที่ชั่วร้ายและทรราชพอ ๆ กัน หรือการแปรเปลี่ยนไปของระบบการปกครองใดที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาใช้กับมนุษย์ด้วยกัน


โลกมิได้คร่ำครวญและปวดร้าวเนื่องจากความตกต่ำของประชาชาติหนึ่งที่ถึงแก่กาลร่วงโรยจนต้องอ่อนแอลงในที่สุด หรือการล่มสลายของรัฐหนึ่งที่รากถูกกัดกร่อน ฐานจึงถูกทำให้พังครืนลง ซึ่งอีกแง่หนึ่ง ถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นไปตามกฎธรรมชาติของโลกเสียด้วยซ้ำ เพราะน้ำตามนุษย์ย่อมมีค่าเกินกว่าที่จะมัวเฝ้าหลั่งรินในทุก ๆ วันให้กับกษัตริย์ที่วายชนม์หรือผู้นำ หนึ่ง ๆ ที่เสียชีวิตไป คงไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะมัวเสียเวลาไปรำพันคร่ำครวญต่อบุคคลหนึ่งที่ไม่เคยทำอะไรเพื่อสร้างความสุข หรือยอมตรากตรำลำบากในยุคใด ๆ เพื่อพวกเขามาก่อน แท้จริงฟากฟ้าและแผ่นดินคงเข้มแข็งมากพอที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในทำนองนี้ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นหรือเคยเกิดขึ้นมาแทบทุกวันเป็นจำนวนหลายพันครั้งมาแล้วก็เป็นได้

“กี่มากน้อยที่พวกเขาได้ทิ้งสวนหลากหลายและน้ำพุหลายแห่ง และเรือกสวนไร่นา และอาคารระโหฐานอันมีเกียรติ และความสะดวกสบายที่พวกเขาสนุกสนาน เช่นนั้นแหล่ะ เรา(อัลลอฮฺ)ได้ให้หมู่ชนอื่นรับมรดกครอบครองมัน และชั้นฟ้าและแผ่นดินมิได้ร่ำไห้เพราะ(เสียดาย)พวกเขา และพวกเขาจะไม่ถูกประวิง” (บท อัด-ดุคอน , 44: 26-29 )

ซ้ำร้ายบรรดากษัตริย์และชนชาติเหล่านั้นมากมายที่อาจทำตัวเป็นที่มัวหมองบนหน้าแผ่นดิน เป็นนรกอเวจีต่อชาติพันธุ์มนุษย์ด้วยกัน เป็นความทุกข์ทรมานสำหรับชาติเล็กชาติน้อยที่อ่อนแอกว่า เป็นบ่อเกิดแห่งความเสื่อมเสีย และโรคร้ายในเรือนร่างของสังคมมนุษย์ คอยแพร่กระจายให้เชื้อพิษไหลผ่านเข้าสู่โสตประสาทและเส้นเลือด แล้วเรือนร่างที่ปกติสมบูรณ์อยู่ก็พลอยถูกคุกคามด้วยอาการเจ็บป่วย จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน ซึ่งการตัดเอาชิ้นส่วนที่เป็นเนื้อร้ายนี้ออกไปจากร่างกายส่วนที่ยังปกติสมบูรณ์ดีอยู่นั้น นับเป็นภาพสะท้อนอันยิ่งใหญ่ที่แสดงถึงความเป็น “อัร-ร็อบบ์” (ผู้ทรงอภิบาล) ของอัลลอฮฺ พระเจ้าผู้ทรงสูงสุด และถือเป็นความเมตตาของพระองค์โดยแท้ ที่มวลสมาชิกแห่งครอบครัวมนุษยชาติ รวมทั้งสมาชิกของจักรภพทั้งหมดพึงแสดงการสรรเสริญและสำนึกพระคุณ

“แล้วได้ถูกตัดขาด จนคนสุดท้ายของกลุ่มชนที่อธรรม และการสรรเสริญทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ พระผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก” (บท อัล-อันอาม , 6 : 42)

ทว่าประชาชาติมุสลิมในฐานะผู้แบกรับพันธกิจแห่งสาสน์ของเหล่าศาสดา ผู้เป็นดั่งร่างกายส่วนที่ยังปกติสมบูรณ์ดีอยู่ในเรือนร่างของมนุษย์โลก การตกต่ำ การล่มสลายของรัฐอิสลามและการสูญเสียอำนาจของพวกเขา มันคงต่ำต้อยน้อยค่าเกินไปหากคิดว่าเป็นแค่เฉพาะการตกต่ำของชนชาติหนึ่ง เผ่าพันธุ์ หรือกลุ่มชนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มันคือการตกต่ำของสาสน์ ๆ หนึ่งซึ่งเป็นประดุจดั่งจิตวิญญาณของสังคมมนุษย์ทั้งหลาย ถือเป็นการล่มสลายของฐานสำคัญยิ่งที่ค้ำจุนระบบของศาสนาและของโลกไว้


ความตกต่ำและสิ้นภาวะการนำของประชาชาติมุสลิม แม้นผ่านไปนานนับหลายศตวรรษแล้ว ในความเป็นจริง ผู้คนทั้งจากซีกตะวันออกและตะวันตกของโลกมีใครบ้างไหมที่รู้สึกเสียใจ จริงหรือที่โลกต้องสูญเสียเนื่องความตกต่ำของประชาชาตินี้ ทั้ง ๆ ที่ในโลกก็เต็มไปด้วยชนชาติต่าง ๆ อีกมากมาย หากมีความสูญเสียเกิดขึ้นจริงเช่นนั้น แล้วอะไรบ้างล่ะที่มันได้สูญเสียหรือขาดหายไป


กิจการต่าง ๆ ของโลกได้ปรับเปลี่ยนไปในทิศทางใดบ้าง ประชาชาติต่าง ๆ ต้องประสบอันตรายอย่างไร หลังจากชนยุโรปก้าวขึ้นกุมบังเหียนตำแหน่งผู้นำ จนกระทั่งประชาชาติมุสลิมต้องตกอันดับแทบหลุดโผไปจากสารบบของโลก แล้วชาติเหล่านั้นก็ได้สร้างฐานของตนเองขึ้นมาแทนที่ซากปรักหักพังของรัฐอิสลาม อะไรคือผลแห่งการเปลี่ยนแปลงอันเป็นจุดพลิกผันครั้งยิ่งใหญ่นี้ต่อการเป็นผู้นำประชาชาติต่าง ๆ และโลก ทั้งด้านศาสนา จริยธรรม การเมือง วิถีชีวิตโดยรวมและในชะตากรรมอันพึงเป็นไปของมวลมนุษยชาติ


สภาพเหล่านั้นจะเป็นเช่นใด หากประชาชาติมุสลิมสามารถลุกขึ้นมาหลังจากลื่นล้ม ตื่นขึ้นมาหลังการหลับใหล จนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้กุมชะตากรรมชีวิตของโลกได้อีกครั้ง


คำตอบของประเด็นทั้งหมด เราจะได้กล่าวถึงกันในหน้ากระดาษต่อจากนี้...

 


Maintained by: e-Daiyah Group (1429 H - 2008).