Loading

 

การส่งเสริมซุนนะฮฺท่านรอซูลและปกปักรักษาชะรีอะฮฺอิสลาม

ย่อมเป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่อเราชอบพอใครซักคนเราย่อมที่จะพยายามลงแรง เวลา และทุนทรัพย์เพื่อส่งเสริมการงานของคนที่เรารัก ดังเช่นที่ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้ลงแรงทั้งหมดทั้งสิ้นที่พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงประทานทั้งแรงกาย ความสามารถ ทรัพย์สิน และชีวิต เพื่อนำพามนุษย์ชาติออกจากความมืดมิดสู่แสงสว่างแห่งอิสลาม จากการกราบไหว้บูชามนุษย์ด้วยกันสู่การบูชาพระเจ้าผู้เป็นนายของบ่าวทั้งปวง ท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ยังได้ต่อสู้อย่างแท้จริง เพื่อให้ถ้อยคำแห่งพระเจ้าสูงส่ง และให้คำเรียกร้องของเหล่าผู้ปฏิเสธศรัทธามลายหายไป ท่านได้ต่อสู้เพื่อขจัดความชั่วร้ายวุ่นวายให้หมดสิ้น เพื่อให้ศาสนาที่แท้จริงนั้นได้ดำรงอยู่ภายใต้สิทธิของพระองค์อัลลอฮฺ
เช่นนี้แล้วผู้ที่รักใคร่ท่านรอซูลุลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ก็ย่อมที่จะพยายามเจริญรอยตามคำสั่งสอนและยึดรูปแบบการดำเนินชีวิตของท่าน (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เป็นแบบอย่างในทุกแง่มุม ซึ่งก็ปรากฏว่ามีกลุ่มคนที่ได้ปฏิบัติและยังคงดำเนิน (ด้วยความโปรดปรานและความช่วยเหลือจากพระองค์อัลลอฮฺ) ตามแนวทางท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) พวกเขาเหล่านั้นได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ทรัพย์สิน เวลา หรือแม้แต่ชีวิตของตนเองเพื่อดำเนินตามในสิ่งที่ท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้เคยทุ่มเท ซึ่งเราจะได้นำเสนอจุดยืนของพวกเขาดังต่อไปนี้

1. อะนัส บิน นัฎรฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ) เรียกร้องการสละชีพในแนวทางของพระองค์อัลลอฮฺและปกปักรักษาศาสนาของพระองค์
เมื่อข่าวโคมลอยการเสียชีวิตของท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ในสงครามอุหุดได้แพร่กระจาย ความโกลาหล (ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว) จึงบังเกิดในหมู่นักรบมุสลิม เศาะหาบะฮฺบางคนถึงกับนั่งหมดอาลัยตายอยากและวางอาวุธ เมื่ออะนัส บิน นัฎรฺ มาเห็นจึงถามเศาะหาบะฮฺเหล่านั้นว่า “เหตุใดพวกท่านจึงมานั่งกันตรงนี้” เศาะหาบะฮฺเหล่านั้นตอบไปว่า “ท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ชีวิตเสียแล้ว” ทันใดนั้นอะนัสก็แย้งขึ้นว่า “แล้วพวกท่านจะทำอย่างไรกับชีวิตหลังจากนี้ต่อไป? จงลุกขึ้นและออกไปสู้สละชีพเพื่อเจริญรอยตามในสิ่งที่ท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้สละชีพสิ”
เศาะหาบะฮฺท่านนี้ยังยอมแม้กระทั่งสละชีวิตตนเองเพื่อยืนหยัดปกป้องและเชิดชูศาสนาแห่งพระองค์อัลลอฮฺด้วยพละกำลังท่านเองด้วย ดังที่อิมาม อัล-บุคอรีย์ ได้รายงานจากอะนัส บิน มาลิก (เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ) โดยกล่าวว่า “ครั้นในวันสงครามอุหุดและปรากฏว่ากองทัพมุสลิมได้แตกพ่าย อะนัส บิน นัฎรฺ (เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ) กล่าวขึ้นว่า “โอ้พระองค์ข้าพระองค์ขออภัยโทษจากสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ” –หมายถึงบรรดาเศาะหาบะฮฺ- “และข้าพระองค์ขอความหลีกห่างจากการกระทำของพวกเขา” –หมายถึงเหล่ามุชรีกีน-
จากนั้นเขากระโจนเข้าสู่สนามรบและพบกับสะอัด บิน มุอาซ (เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ) ท่านจึงกล่าวว่า “โอ้ สะอัด บิน มุอาซ ! ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าของนัฎรฺ(ชื่อบิดาของอะนัส) ข้าได้กลิ่นของสวรรค์อยู่ใต้ภูเขาอุหุดนี้แล้ว”
สะอัด (เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ) กล่าวว่า “ฉันเองไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นที่เขาทำหรอก โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮฺ”
หลังจากเสร็จศึกสงคราม อะนัส บิน มาลิก (เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ) รายงานว่า หลังจากนั้นเราก็พบศพของอะนัส บิน นัฎรฺ ถูกคมหอก ดาบ และธนูมากกว่า ๘๐ แห่ง สภาพศพของเขา ส่วนหัวถูกตัดข้าง (จากจมูกจนถึงใบหู) ซึ่งไม่มีใครทราบว่านั่นคือศพของเขาจนเมื่อน้องสาวของเขามาระบุว่านี่คือศพพี่ชายของนางโดยดูจากส่วนข้างของใบหน้า อะนัสยังกล่าวอีกว่า


????? ?????????????? ??????? ???????? ??? ????????? ????? ???????? ????????? ???? ????? ???????? ????????? ???? ????????? ????? ????????? ??????????? (??????? : 23 )


ความว่า “ในหมู่ผู้ศรัทธามีบุรุษผู้มีสัจจะต่อสิ่งที่พวกเขาได้สัญญาต่ออัลลอฮฺเอาไว้ ดังนั้นในหมู่พวกเขามีผู้ปฏิบัติตามสัญญาของเขา และในหมู่พวกเขามีผู้ที่ยังคอย (การตายชะฮีด) และพวกเขามิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด” (อัล-อะห์ซาบ 23)
เราเห็นหรือคาดว่าอายะฮฺนี้ถูกประทานในกรณีของ อะนัส บิน นัฎรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ และกรณีอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน

2. ความปิติยินดีของ หะรอม บิน มิลหาน (เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ) ในการพลีชีพเพื่อเผยแพร่สารแห่งอิสลาม
นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งจากบรรดาเศาะหาบะฮฺที่ถูกสังหารขณะกำลังเผยแพร่สารจากท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ถึงกระนั้น ก่อนที่เขาจะจากไปสู่โลกอาคิเราะฮฺ เขาก็ได้ฉวยโอกาสสุดท้ายเพื่อบอกให้โลกรับรู้ว่าเขาปลาบปลื้มและปิติเพียงใดกับการเสียสละครั้งนี้ เรามาลองดูกันว่าอะไรคือความปลื้มปิติของเขา? ดังที่ อัล-บุคอรีย์ได้รายงานจาก อะนัส (เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ) ว่า “ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้ส่งลุงของท่าน ซึ่งเป็นพี่น้องชายของอุมมุ สุลัยม์ ร่วมไปกับกองพลม้าทั้งหมด ๗๐ คน เพื่อไปเชิญชวนชนเผ่าหนึ่งให้รับอิสลาม (ซึ่งหะรอมผู้นี้นั้นเป็นคนขาพิการเดินกะโผลกกะเผลก) หะรอมได้ออกเดินทางพร้อมด้วยชายอีกคนจากอีกเผ่าหนึ่ง
หะรอมกล่าวขึ้นว่า “เราต้องอยู่ใกล้ๆ กัน หากว่าพวกเขาวางใจในสิ่งที่ฉันบอกพวกเขา ท่านก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากพวกเขาฆ่าฉัน ท่านก็จงกลับไปยังพรรคพวกของท่านทันที”
หะรอมจึงเริ่มเชิญชวนโดยกล่าวว่า “พวกท่านจะเชื่อฉันไหมหากฉันนำสารแห่งท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) มาบอก?”
เมื่อหะรอมเริ่มพูดคุย กับคนเหล่านั้น พวกเขาก็ทำสัญญาณให้ชายคนหนึ่งเดินมาจากข้างหลังและแทงหะรอมจนทะลุหลัง
เมื่อถูกแทง หะรอมจึงร้องขึ้นว่า “อัลลอฮฺฮุ อักบัรฺ ขอสาบานด้วยพระผู้เป็นแห่งกะอฺบะฮฺ ฉันได้รับชัยชนะแล้ว”
นี่คือผู้ที่รักท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) และศรัทธาในอิสลามอย่างแท้จริง ผู้ซึ่งมีความรักที่ทำให้เขาเห็นว่าชัยชนะนั้นเกิดขึ้นด้วยการสละชีวิตของตนเองเพื่อเผยแพร่สารแห่งอิสลามของท่านรอซูลอันเป็นที่รักของเขา
ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺผู้ทรงครองกะอฺบะฮฺ นี่คือชัยชนะอย่างแท้จริง โอ้พระองค์อัลลอฮฺ ขอจงประทานสิ่งนั้นแก่พวกเราด้วยเถิด อามีน ยาร็อบบัลอาละมีน

3. อบู บักรฺ ส่งกองทหารของอุสามะฮฺออกรบ แม้ว่าสถาณการณ์กำลังตึงเครียดหลังการเสียชีวิตของท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)
การเสียชีวิตของท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ถือเป็นบททดสอบอันหนักหน่วงต่อบรรดาเศาะหาบะฮฺ เพราะหลังการเสียชีวิตของท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ชนเผ่าอาหรับต่างๆ ได้เริ่มกระด้างกระเดื่องและปฏิเสธอิสลาม มิหนำซ้ำยังวางแผนจะโจมตีฐานที่มั่นของมุสลิม ณ นครมะดีนะฮฺอีกด้วย ดังที่อัมมารฺ บิน ยาสิรฺ ได้บรรยายสภาพของหมู่มุสลิมในขณะนั้นว่า เป็นเช่นสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีเจ้าของ และมะดีนะฮฺในขณะนั้น –ตามคำอธิบายของอัมมารฺ- ก็คับแคบในความรู้สึกของประชาชนมากกว่ารูแหวนเสียอีก
แต่ถึงสถานการณ์จะเลวร้ายและบีบอัดขนาดนั้น อบู บักรฺก็ยังยืนยันที่จะส่งกองทหารของอุสามะฮฺออกสู่แนวหน้า เพราะนั่นคือสิ่งที่ท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้เตรียมการก่อนหน้าที่ท่านจะเสียชีวิต ท่านได้สั่งและตระเตรียมกำลังพลเพื่อส่งไปรบกับเหล่าอริราชศัตรูซึ่งอยู่ห่างออกไปจากเมืองมะดีนะฮฺ แต่การส่งกองกำลังในครั้งนั้นได้หยุดชะงักไว้เพราะอาการเจ็บป่วยของท่าน (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) และทรุดหนักจนเสียชีวิตในที่สุด
ทว่า จุดยืนของ อบู บักรฺ สหายผู้เป็นที่รักยิ่งผู้นี้จะเป็นอย่างไรบ้างกับคำสั่งของท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)? รายงานโดยอิมาม อัฏ-เฏาะบะรีย์จาก อาศิม บิน อะดีย์ ว่าหนึ่งวันถัดจากวันที่รอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เสียชีวิต อบู บักรฺ ได้สั่งให้คนป่าวประกาศว่า “กองทหารของอุสามะฮฺให้เดินทัพต่อไป ต้องไม่มีทหารของอุสามะฮฺแม้แต่คนเดียวที่ยังคงอยู่ในเมืองมะดีนะฮฺ ทุกคนจะต้องออกไปยังค่ายที่ อัล-ญุรฟฺ ”
ครั้นเมื่ออุสามะฮฺเห็นว่าสถานการณ์ในเมืองขณะนั้นยังคงวุ่นวายอลหม่าน จึงขออนุญาตจาก อบู บักรฺเพื่ออยู่ประจำการรักษาเมืองมาดีนะฮฺต่อ อบู บักรฺ เขียนตอบกลับไปว่า “ฉันไม่คิดว่าการงานใดจะสมควรปฏิบัติก่อนการงานที่ท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้ดำเนินไว้ และถ้าให้หมู่นกมาจิกกัดฉันยังจะดีเสียกว่าให้ฉันละทิ้งกิจการของท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)”
มีเศาะหาบะฮฺบางคนที่ไม่เห็นด้วยและคัดค้านเพราะเกรงว่าชนเผ่าอาหรับจะคิดโจมตีเมืองมะดีนะฮฺหลังรู้ข่าวการเสียชีวิตของท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) อบู บักรฺก็ตอบกลับไปว่า “ถ้าฉันรั้งกองทหารที่รอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กำลังจะส่งไปรบ เช่นนั้นแล้วฉันคงกระทำการผิดพลาดอย่างมหันต์ ขอสาบาน ด้วยอัลลอฮฺ ผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ให้ชนเผ่าอาหรับโจมตียังดีเสียกว่าให้ฉันรั้งกองทหารของท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)”
และในอีกสายรายงานจาก อัฏ-เฏาะบะรีย์ กล่าวว่า “ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ผู้ที่ชีวิตของอบูบักรฺอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ หากแม้นฉันรู้ว่าอย่างแน่ใจจะมีเพียงเสือสิงห์คอยขย้ำฉัน ฉันก็จะยังคงส่งกองกำลังของอุสามะฮฺออกไปรบ ดังที่ท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้เตรียมการ และหากว่าในหมู่บ้านจะเหลือฉันเพียงคนเดียว ฉันก็จะยังคงพยายามทำมันให้สำเร็จ”
ขอสาบานด้วยพระองค์อัลลอฮฺ ผู้ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ นี่คือผู้ที่รักใคร่ท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) อย่างบริสุทธิ์ใจ และอบู บักรฺผู้นี้ยังทำตัวเป็นแบบอย่างด้วยการออกไปส่งกองทหารด้วยการเดินเท้า ขณะที่อุสามะฮฺนั้นขี่พาหนะ และมีอับดุรเราะหฺมาน บิน เอาฟฺ (เราะฎิยัลลอฮฺฮุอันฮุม) เป็นผู้จูง อุสามะฮฺเอ่ยขึ้นว่า โอ้ คอลีฟะฮฺแห่งท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ด้วยพระนามแห่งองค์อัลลอฮฺ หากท่านไม่ขึ้นมานั่งบนนี้ข้าจะลงไปเดินพร้อมท่าน อบู บักรฺ ตอบกลับไปว่า ด้วยพระนามแห่งองค์อัลลอฮฺจงอย่าได้ลงมา และฉันก็จะไม่ขึ้นไป จะเป็นไรไปหากฉันจะให้เท้าของฉันเปื้อนฝุ่นในแนวทางขององค์อัลลอฮฺบ้างสักชั่วครู่หนึ่ง”
ในการนี้ อบู บักรฺ ได้ให้โอวาทแก่อุสามะฮฺว่า “ท่านจงปฏิบัติดังที่ท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กำชับ และจงเริ่มจากดินแดน กุฎออะฮฺ ถัดไปก็เป็น อีต-อาบิล และจงปฏิบัติตามคำสั่งของท่านรอซูลอย่างเคร่งครัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) มิให้ขาดตกเป็นอันขาด” จากอีกสายรายงานหนึ่งกล่าวว่า “อุสามะฮฺ ท่านจงมุ่งหน้าสู่ดินแดนที่ท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กำหนด และจงสู้รบดังที่ท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้เคยสั่งการ”
ขอสาบานด้วยองค์อัลลอฮฺ นี่คือความรักที่แท้จริงที่มีต่อท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ด้วยการสู้รบในแนวทางอิสลามเพื่อปกปักและเชิดชูความถูกต้องตามเจตนารมณ์ของท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)

4. อบู บักรฺ สู้รบกับผู้ที่ปฏิเสธการจ่ายซะกาตและผู้ที่หันเหออกจากอิสลามแม้ว่าสถานการณ์ภายในจะตึงเครียดก็ตาม
เมื่อกล่าวถึงการสู้รบกับผู้ที่ปฏิเสธการจ่ายซะกาต เราจะประจักษ์ในความมุ่งมั่น เจตนารมณ์ และความหนักแน่นของอบู บักรฺดังที่ได้ปรากฏในคำพูดของท่านอันโด่งดังว่า “ด้วยพระนามแห่งองค์อัลลอฮฺ หากแม้พวกเขาปฏิเสธที่จะจ่ายแม้เพียงแค่เชือกผูกอูฐที่เคยส่งให้ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ข้าก็จะสู้เพราะการที่พวกเขาปฏิเสธจะจ่ายมัน ” ดังนั้น เมื่อท่านทราบข่าวว่ามีชนเผ่าอาหรับเริ่มปฏิเสธอิสลามและพยายามโจมตีเมืองมะดีนะฮฺ ท่านได้ออกไปประจัญบานชูดาบด้วยตัวเอง เช่นที่รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ (เราะฏิยัลลอฮุอันฮา) ว่า “พ่อของฉันขึ้นพาหนะและชูดาบมุ่งหน้าไปยังเมือง ซีย์ อัล-กิศเศาะฮฺ ” และเมื่อมีการขอร้องให้ท่านประจำอยู่ในเมืองและส่งตัวแทนออกไป ท่านตอบว่า “ไม่ และด้วยพระนามแห่งผู้อภิบาล ฉันจะไม่ทำเช่นนั้น ฉันจะทวงสิทธิให้กับพวกท่านด้วยตัวของฉันเอง”
แล้วจะให้ท่านนั่งอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร ในเมื่อศาสนาของผู้ที่ท่านรักกำลังร้องเรียกท่านอยู่ แล้วจะไม่ให้ท่านออกไปรบได้อย่างไร ในเมื่อท่านรับรู้ถึงการร้องเรียกขอความช่วยเหลือจากศาสนาที่ถูกประทานลงมา กลับมาย้อนดูตัวเราเองบ้าง พวกเรายืนอยู่ตรงไหนหากเทียบกับจุดยืนของอบู บักรฺ ? เราเห็นอยู่ตำตาว่าศาสนาของเรากำลังร้องเรียกขอความช่วยเหลือจากทั่วทุกสารทิศ เสียงโหยหวนของชะรีอะฮฺอิสลามียะฮฺดังอยู่ในเกือบทุกที่ในโลก แล้วมีใครตอบรับเสียงนั้นบ้าง?
หรือไม่เรากลัวบ้างว่า -แม้ว่าเราจะอ้างว่ารักนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เหลือเกินก็ตาม- เราจะเป็นดังพระดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า


??????? ??????? ???? ??????????? ????? ???????? ???????? ???? ??????????? ????? ???????? ?????? ???? ??????????? ????? ??????????? ????????????? ???? ???? ??????? ??????????? ???? ?????????????? (??????? : 179 )


ความว่า “โดยที่พวกเขามีหัวใจซึ่งพวกเขาไม่ใช้มันทำความเข้าใจ และพวกเขามีตาซึ่งพวกเขาไม่ใช้มันมอง และพวกเขามีหูซึ่งพวกเขาไม่ใช้มันฟัง ชนเหล่านี้ประหนึ่งปศุสัตว์ ใช่แต่เท่านั้นพวกเขาเป็นผู้หลงผิดยิ่งกว่า ชนเหล่านี้พวกเขาคือผู้ที่เผลอเรอ”

5. อัล-บัรรออ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ขอให้โยนตัวเขาเข้าไปในสวนอันเป็นที่ตั้งของฝ่ายศัตรูเพื่อจะได้เปิดประตูสวนจากข้างใน
ในศึกสงคราม อัล-ยามามะฮฺ บรรดาทหารของ มุสัยละมะฮฺ อัล-กัซซาบ ได้พากันเข้าไปหลบอยู่ในสวนแห่งหนึ่งและปิดประตูสวน เมื่อทหารอิสลามตามมาถึง หนึ่งในเศาะหาบะฮฺ ได้เรียกร้องให้มิตรสหายของเขาโยนตัวเขาขึ้นไปบนขอบรั้วเพื่อที่จะเข้าโจมตีศัตรูและเปิดประตูสวนให้แก่มุสลิม
อิมาม อัฏ-เฏาะบะรีย์ได้รายงานเรื่องนี้ไว้ว่า “ครั้นกองทัพมุสลิมได้ขับไล่ทหารเหล่านั้น (ทหารของมุสัยละมะฮฺ) จนเข้าไปหลบอยู่ในสวน (สวนแห่งความตาย) ซึ่งผู้ที่หลบอยู่ในสวนขณะนั้นคือ มารศาสนา มุสัยละมะฮฺ อัล กัซซาบ ทันใดนั้น อัล-บัรรออ์ บิน มาลิก ร้องขึ้นว่า “โอ้บรรดาชนมุสลิม จงโยนฉันเข้าไปในสวนนั่น” และอีกสายรายงานระบุว่า “โอ้บรรดามุสลิมจงขว้างฉันเข้าไปในสวนนั่น” สหายบางคนจึงพูดขึ้นว่า “อย่าทำเช่นนั้นเลย บัรรออ์” เขากลับตอบว่า “ด้วยพระนามแห่งองค์ผู้อภิบาล พวกท่านต้องโยนฉันขึ้นไปเดี๋ยวนี้” ดังนั้นอัล-บัรรออ์จึงขึ้นขี่หลังมุสลิมคนหนึ่งจนสามารถเข้าไปในสวนทางด้านกำแพง และได้ปะทะกับทหารมุสัยละมะฮฺที่ประตูสวนนั่นเอง จนสามารถเปิดประตูสวนให้ทหารมุสลิมสามารถเข้าไปสังหารมุสัยละมะฮฺในที่สุด”
อัลลอฮุอักบัรฺ ! เห็นไหมว่า อัล-บัรรออ์ มองตัวเองว่าชีวิตตนนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยและยอมเสียสละตนเองเพื่ออิสลามได้ขนาดไหน ทั้งๆ ที่ชีวิตของเขานั้นมีค่าสูงส่ง และสูงกว่าชีวิตของเราเป็นพันๆ คนเสียด้วยซ้ำ

6. มุสลิม ๔๐๐ คนให้สัตยาบันจะสละชีพในสงครามอัล-ยัรมูก
ในสงครามอัล-ยัรมูก เราได้เห็นชนมุสลิม ๔๐๐ คนพร้อมใจกันให้สัตยาบันจะสละชีพและปกปักรักษาศาสนาของพระองค์อัลลอฮฺ และจะกำจัดความฉ้อฉลรวมไปถึงความเลวร้ายให้หมดสิ้น อัล-หาฟิซ อิบนุ กะษีร ได้รายงานถึงการครั้งนั้นว่า จากอบี อุษมาน อัล-ฆ็อสสานีย์ จาก บิดาของท่าน กล่าวว่า อิกริมะฮฺ บิน อบี ญะฮัล(เราะฎิยัลลอฮฺฮุอันฮุ) ได้กล่าวต่อหน้าข้าศึกในวันนั้นว่า “ข้าเคยเป็นศัตรูและต่อสู้กับรอซูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ในหลายๆ สถานการณ์ แล้ววันนี้เจ้าคิดว่าข้าจะหนีจากพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ !” จากนั้นอิกริมะฮฺจึงตะโกนขึ้นว่า “ใครจะให้สัตสาบานที่จะต่อสู้จนตัวตายบ้าง?” อาของเขา อัล-หาริษ บิน ฮิชาม จึงให้สัตยาบันเป็นคนแรก ตามด้วย ฎิรอรฺ บิน อัล-อะซูรฺ และทหารหาญอิสลามอีก ๔๐๐ คน ทั้งกองทหารเดินเท้าและทหารม้า พวกเขาร่วมกันต่อสู้อยู่แถวหน้าในกองทัพของคอลิด บิน อัล-วะลีด จนได้รับบาดเจ็บกันถ้วนหน้า ซึ่งบางคนก็เสียชีวิตในสนามรบ เช่น ฎิรอรฺ บิน อัล-อะซูรฺ (เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุม)”

7. อัซ-ซุเบรฺ (เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ) ปีนขึ้นเหนือกำแพงเมืองเพื่อเข้าไปเปิดประตูเมืองให้ทหารอิสลาม
ณ ดินแดนอียิปต์เราได้รู้จักผู้ที่รักใคร่ท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) อย่างแท้จริงอีกท่านหนึ่ง คนผู้นี้ได้มอบร่างกายและชีวิตเพื่ออิสลาม เขาได้กระทำการเฉกเช่น อัล-บัรรออ์ บิน มาลิก ในศึกสงคราม อัล-ยามามะฮฺ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด นั่นก็เพราะพวกเขาสำเร็จหลักสูตรมาจากโรงเรียนเดียวกัน และคนที่พวกเขารักก็คือๆ คนเดียวกัน พวกเขาสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแห่งศาสนทูต และผู้ที่พวกเขารักยิ่งชีวิตก็คือท่านนบีมูฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) นั่นเอง อิมาม อิบนุ อับดิลหะกัม ได้เล่าถึงเรื่องราวของเขาและเศาะหาบะฮฺท่านอื่นๆ ดังนี้ “เมื่อการเปิดประตูเมืองศัตรูบังเกิดความล่าช้าแก่ อัมรฺ บิน อัล-อาศ (เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ) อัซ-ซุเบรฺในขณะนั้นจึงรับอาสาเปิดประตูเมือง โดยกล่าวว่า ฉันจะมอบชีวิตนี้แด่องค์อัลลอฮฺ และฉันหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเปิดประตูเมืองแก่ทหารอิสลาม”
เขาจึงเอาบันไดพาดตรงกำแพงเมืองและปีนขึ้นไปตรงฝั่งตลาด อัล-หัมมาม และกำชับทหารอิสลามให้กล่าวตักบีรตอบหากเขาตักบีร ไม่ทันที่ทหารอิสลามจะได้เตรียมตัว ซุเบรฺ ก็ปีนถึงยอดกำแพงเมืองพร้อมชูดาบและตะโกน อัลลอฮฺฮุ อักบัรฺ ทหารคนอื่นจึงพยายามปีนขึ้นไปด้วยจน อัมรฺ ต้องห้ามเอาไว้เพราะกลัวบันไดจะหักเสียก่อน
เมื่อซุเบรฺและผู้ที่ติดตามเข้าเมืองได้สำเร็จพร้อมๆ กับการตักบีร มุสลิมที่รออยู่นอกกำแพงเมืองก็กล่าวตักบีรตอบด้วยเสียงอันเซ็งแซ่ ชาวเมืองจึงแน่ใจว่าชนอาหรับกลุ่มนั้นคงพังประตูเมืองเข้ามาได้แล้วจึงพากันหลบหนีไปหมด ขณะนั้น ซุเบรฺมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองและเปิดให้ทหารอิสลามเข้าเมืองได้สำเร็จ” (เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุม)
ความรักและการทุ่มเทเพื่อศาสนาของพวกเขาช่างสัจจริงมากมายยิ่ง !

8. อัน-นุอฺมาน บิน มุกริน (เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ) วิงวอนต่อพรองค์อัลลอฮฺให้ทรงประทานชะฮาดะฮฺ (การตายในแนวทางอิสลาม) เพื่อชัยชนะของอิสลาม
ในสงครามนะฮาวันด์ ยังมีผู้กล้าและรักใคร่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) อีกคนหนึ่ง เขาผู้นั้นได้วิงวอนต่อเอกองค์อัลลอฮฺให้ประทานชะฮาดะฮฺแก่เขาเพื่อชัยชนะจะได้เป็นของอิสลาม ดังรายงานโดย อัซ-ซะฮะบีย์ว่า เมื่อการปะทะระหว่างสองฝ่ายเริ่มต้น (ในสงครามนะฮาวันด์) นุอฺมานได้กล่าวว่า “หากฉันถูกสังหารในสงครามอย่าได้มีใครคนใดเข้ามาช่วยฉัน เพราะฉันได้วิงวอนต่อเอกองค์อัลลอฮฺไว้ จงช่วยกันขอให้พระองค์ทรงประทานชะฮาดะฮฺแก่ฉันเถิด” จากนั้นเขาจึงกล่าวคำวิงวอนว่า “โอ้พระองค์อัลลอฮฺขอทรงประทานชะฮาดะฮฺแก่ข้าพระองค์เพื่อชัยชนะแห่งอิสลาม” ทหารคนอื่นๆ จึงกล่าวอามีน ซึ่งนุอฺมานก็เป็นคนแรกที่ตายในสนามรบนั้น (เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ)
ในอีกสายรายงานหนึ่งระบุว่า นุอฺมานได้กล่าวคำวิงวอนดังนี้ “โอ้พระองค์อัลลอฮฺ ขอจงช่วยค้ำจุนศาสนาแห่งพระองค์ และขอจงประทานความช่วยเหลือแก่บ่าวของพระองค์ และขอให้นุอฺมานผู้นี้เป็นคนแรกที่ตายในหนทางของพระองค์ เพื่อเชิดชูศาสนาและช่วยเหลือบ่าวของพระองค์”
ช่างเป็นคำวิงวอนที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ซึ่งผู้ที่จะได้รับก็มีเพียงผู้ที่ได้ผ่านการอดทนมาเท่านั้น และเป็นผู้ที่จะได้รับส่วนแบ่งอันยิ่งใหญ่จากอัลลอฮฺ

9. ชนมุสลิมต่างใฝ่หาการสละชีพในหนทางแห่งพระองค์อัลลอฮฺ
ข้าพเจ้าจะขอปิดท้ายในบทนี้ด้วยคำกล่าวของ อุบาดะฮฺ บิน อัศ-ศอมิต (เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ) ที่ได้บรรยายถึงความมุ่งมั่นของบรรดามิตรสหายของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ที่รักใคร่ท่านอย่างแท้จริงและพร้อมที่จะสละชีพในหนทางแห่งอิสลามเพื่อกำจัดซึ่งความฉ้อฉลและดำรงไว้ซึ่งศาสนาอิสลามบนหน้าแผ่นดิน ท่านได้กล่าวไว้ว่า “พวกเราทุกคนต่างวิงวอนต่อพระองค์อัลลอฮฺเช้าและเย็น เพื่อพระองค์จะได้ทรงประทานชะฮาดะฮฺแก่พวกเรา เมื่อพวกเราออกรบ เราก็วิงวอนให้ตายในสนามรบ ขอให้อย่าได้กลับมายังดินแดนนี้อีก ขออย่าให้ได้กลับมาเจอครอบครัว และลูกๆ ขอเราอีก เราได้ฝากฝั่งครอบครัวและลูกๆ ของเราไว้ในความคุ้มครองของพระองค์ ความทะเยอทะยานของเราคือการมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่กลับมามองข้างหลัง”
แล้วเราๆ ท่านๆ เป็นเช่นดังคำกล่าวของ อุบาดะฮฺ หรือไม่ ?
ขอพระองค์ทรงประทานแก่เราดั่งที่ได้ทรงประทานให้แก่พวกเขาด้วยเถิด อามีน

สรุปปิดท้าย
มวลการสรรเสริญย่อมเป็นสิทธิแห่งพระองค์ ผู้ซึ่งคอยค้ำจุนให้บ่าวผู้อ่อนแอผู้นี้สามารถเขียนงานวิจัยนี้ได้สำเร็จ บ่าวขอวิงวอนต่อพระองค์ขอจงทรงรับกิจการนี้ไว้เป็นบุญกุศลของบ่าวด้วยเถิด
สรุปใจความสำคัญของงานเขียนนี้ดังต่อไปนี้
1. เราต้องรักท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ยิ่งกว่าชีวิตเรา พ่อแม่ของเรา ลูกๆ และครอบครัวของเรา ทรัพย์สินของเรา และรักยิ่งกว่าผู้ใดในโลกนี้
2. การรักใคร่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) จะยังผลให้เราได้สัมผัสถึงความหอมหวานแห่งการศรัทธาในโลกนี้ และได้อยู่เคียงข้างท่านในโลกหน้า
3. ต่อไปนี้เป็นสัญญานที่บ่งบอกถึงความรักของเราที่มีต่อท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)
ก. มุ่งหวังที่จะได้เห็นท่านและอยู่เคียงข้างท่าน เราจะถือว่าการขาดสิ่งนี้เลวร้ายกว่าการขาดสิ่งใดๆ ในโลก
ข. มีความพร้อมเต็มที่ๆ จะสละชีพ, ทรัพย์สิน, เพื่อปกป้องท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)
ค. ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) และห่างไกลจากคำห้ามปรามของท่าน
ง. เชิดชูซุนนะฮฺของท่านและปกปักรักษาชารีอะฮฺอิสลามด้วยชีวิต
4. แท้จริงแล้วบรรดาเศาะหาบะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม) ล้วนเป็นผู้สัจจริงในการรักท่านรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) การได้มองท่านและอยู่ร่วมกับท่านเป็นสิ่งที่พวกเขารักยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกนี้ พวกเขามองว่าการเสียสละตนและทรัพย์สินของพวกเขาเพื่อปกป้องท่านรอซูลนั้นเป็นความสุขที่สุด เช่นเดียวกับที่พวกเขาจะรีบเร่งเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน และละทิ้งสิ่งที่ท่านห้าม แท้จริง พวกเขาได้ทำให้ชีวิตอันมีค่าเป็นเรื่องเล็กน้อยในการที่จะช่วยเหลือและปกป้องแนวทางของท่านรอซูลและพิทักษ์บทบัญญัติที่อัลลอฮฺประทานลงมาแก่ท่าน
ข้าพเจ้าขอสั่งเสียตัวเองและพี่น้องมุสลิมให้เอาเยี่ยงอย่างของบรรดาเศาะหาบะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม) เหล่านี้ ในการมอบความรักต่อท่านรอซูลผู้เป็นที่รัก เพราะการอ้างอย่างเดียวไม่ได้มีประโยชน์อันใดเลย และไม่ส่งผลใดๆ ต่อผู้อ้างเว้นแต่จะสร้างความเสียหายเท่านั้น

???? ???? ????? ??? ????? ???? ??? ??????? ??????? ????? ????? ???? ?????? ?? ????? ??? ?? ????????.


เรียบเรียงโดย ฟัฏล์ อิลาฮีย์

แปลโดย ซุฟยาน ยูซุฟ

ผู้ตรวจทาน ซุฟอัม อุษมาน

จากเว็บไซต์ http://www.islamhouse.com/p/303716

Maintained by: e-Daiyah Group (1429 H - 2008).