Loading

 

ผิดด้วยหรือที่แต่งงานกับหญิงอายุน้อย?

การแต่งงานของท่านศาสดามู่ฮัมมัด กับท่านหญิงอาอิชะฮฺนั้นดูเหมือนว่าจะตกเป็นเป้าโจมตีและวิพากษ์วิจารณ์ของพวกตะวันตกเราจะเห็นได้ว่าถึงแม้ว่ายุคแห่งการล่า อาณานิคมของพวกนักล้าอาณานิคมชาวยุโรปจะหมดไปจากดินแดนมุสลิมแล้วก็ตามและถึงแม้ว่ามุสลิมจะได้อิสระเสรีภาพในการปกครองตนเองแล้วก็ตาม แต่กระนั้นสิ่งที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็ยังคงมีอยู่นั้นก็คือการตกเป็นเมืองขึ้นแห่งจิตใต้สำนึก มันเป็นสิ่งที่มีความอันตรายมากกว่าทั้งนี้ก็เพราะมันแฝงไว้ด้วยความแยบยลและความซับซ้อนมากกว่าที่เราคิด อินชาอัลลอฮฺ บทความนี้จะเป็นส่วนหนึ่ง ที่จะมีส่วนช่วยให้ทั้งผู้ที่เป็นมุสลิมตลอดจนผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมได้รู้และเข้าใจไม่เพียงแต่ข้อเท็จจริง ที่เกี่ยวกับการแต่งงานของท่านศาสดากับท่านหญิงอาอิชะฮฺเท่านั้น แต่ยังช่วยให้รู้และเข้าใจถึงเรื่องดังกล่าวในมุมมองทัศนะคติของอิสลาม ผนวกกับชีวิตในยุคสมัยใหม่ตามที่เรียกกันนี้ด้วย

มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับผู้ที่กำลังพยายามเผยแพร่สัจธรรมแห่งอิสลามในตะวันตก ในการที่พวกเขาต้องพยายามเป็นอย่างหนักที่จะต่อสู้กับพวกที่ไม่ประสงค์ดีต่ออิสลามและเมื่อเป็นเช่นนี้ บ่อยครั้งที่ทำให้เราเห็นด้วยกับคำกล่าวของนักบูรภาคดี วี มอนโกเมอรี่ เวท เมื่อเรามองดูถึงความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นในตะวันตก โดยที่ วี มอนโกเมอรี่ เวทได้กล่าวไว้ว่า ในบรรดาบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของชาวโลกทั้งหลายนั้น ไม่มีใครที่จะถูกใส่ร้ายป้ายสีมากไปกว่าศาสดามู่ฮัมหมัด(1)

เราจะเห็นได้ว่าชาวตะวันตกนั้นรับไม่ได้ที่จะเห็นชายคนหนึ่งในวัยห้าสิบกว่าๆ ที่จะแต่งงานกับเด็กหญิงที่เพิ่งบรรลุเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะถ้าชายผู้นั้นถูกคาดหวังจากผู้คนว่าจะต้องเป็นแบบอย่างแห่งศิลธรรมและศาสนา นอกจากชาวตะวันตกจะรับสิ่งนี้ไม่ได้แล้วพวกเขายังถือว่านี้เป็นสิ่งที่ผิดวิสัยในความประพฤติทางเพศอีกด้วย

เมื่อ พบกับการวิพากวิจารณ์เช่นนี้มุสลิมโดยส่วนรวมก็มักที่จะไม่สามารถโต้ตอบกลับ ไปได้อย่างดีเท่าที่ควร จะเห็นได้ว่าในอดีตที่ผ่านมาเมื่อมีมุสลิมจำนวนมากได้เมามายลุ่มหลงอยู่กับ วัฒนธรรมและอารยะธรรมของตะวันตก และพร้อมที่จะทำตามและดำเนินตามทุกๆอย่างที่ชาวยุโรปได้กระทำกันแต่เมื่อพวก เขาถูกถามคำถามเฉกเช่น การแต่งงานของท่านศาสดาดังที่ได้กล่าวมาตอนต้นพวกเขาเหล่านั้นก็มักที่จะ ปฏิเสธว่าสิ่งนี้ไม่มีในอิสลามพวกเขามีความอับอายที่จะเผชิญกับคำถามที่ ท้าทายเช่นนั้นโดยที่มุสลิมพวกที่ต้องการทำตัวเองให้เป็นสมัยใหม่ตามตะวันตก เหล่านี้ กลับกล่าวอ้างว่าเฉพาะคำภีร์อัลกรุอานเพียงเท่านั้นที่จะเป็นตัวตัดสินหรือ ที่มาของหลักการในศาสนาอิสลาม โดยที่พวกเขาเหล่านี้ถอดทิ้งและไม่สนใจต่อวัจนะหรือฮะดิษของท่านศาสดา พวกเขาเหล่านี้ปฏิเสธต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและโจมตีหักล้างวัจนะหรือฮะดิษ ของท่านศาสดาที่ได้รายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ แต่ ก็โชคดีสำหรับมุสลิม ที่พฤติกรรมหลักเลี่ยงความจริงแบบขอไปทีของมุสลิมเหล่านี้เริ่มค่อยๆ หมดไปมากแล้วแต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีมุสลิมอีกหลายคนที่พยายามหลีกเลี่ยงและ ไม่กล้าเผชิญกับสิ่งที่เขาประสบโดยที่ไม่สนใจที่จะกลับไปดูแหล่งที่มาคำสอน ของอิสลามที่เชื่อถือได้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็เห็นมุสลิมเหล่านี้อ้างตัวเองว่าเป็นผู้ปฏิบัติตัวตาม แบบฉบับของท่านศาสดาและก็ยังมีมุสลิมอีกหลายคนเช่นกันที่อาจจะสงสัยว่า เรื่องราวที่ว่าท่านศาสดาได้แต่งงานกับท่านหญิงอาอีชะฮ นั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่และจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไร

เนื่อง มาจากความไม่รู้ของมุสลิมหลายๆ คนเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งบางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาได้แต่อ่านหนังสือที่เขียน ขึ้นโดยพวกที่มีอคติต่ออิสลาม แต่กระนั้นเมื่อเราหันกลับไปดูแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ของอิสลามแล้วเราก็ จะรู้ได้ทันทีถึงอายุในตอนที่ท่านหญิงอาอีชะฮแต่งงานกับท่านศาสดา ซึ่งเรื่องนี้ได้มีกล่าวยืนยันไว้อย่างชัดเจนในฮะดิษหรือวัจนะของท่านศาสดา อันเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญที่สุดของอิสลามรองลงมาจากคัมภีอัลกรุอ่าน ดังนั้นมันจึงเป็นความเขลาโดยแท้จริงที่จะบอกว่าอายุของท่านหญิงอาอีชะฮตอน แต่งงานกับท่านศาสดานั้น ไม่สามารถพบได้ในแหล่งข้อมูลของอิสลามทั้งนี้ถึงแม้คำภีร์อัลกรุอานจะไม่ได้ บอกไว้ถึงอายุ แต่กระนั้นอัลฮะดิษหรือในวัจนะของท่านศาสดาเราก็สามารถพบได้และฮะดิษก็ยัง ถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลทางอิสลามที่สำคัญแหล่งหนึ่งอีกด้วย

สำหรับ มุสลิมแล้วไม่เป็นที่น่าแปลกใจอีกต่อไป ถึงการลำเอียงและการเลือกปฏิบัติที่พวกคริสเตียนได้แสดงออกมา เมื่อพวกเขาวิพากวิจารณ์ต่อการกระทำของท่านศาสดามูฮัมมัด ทั้งนี้ก็เพราะเราได้ยินได้ฟังสิ่งนี้มานานแล้ว และการที่พวกปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้า หรือพวกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนาหรือใครก็แล้วแต่ที่ไม่เชื่อว่าที่มาแห่งศิล ธรรมและหลักปฏิบัติทางด้านจริยธรรมนั้นจะต้องมาจากคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า สำหรับพวกเขาเหล่านั้นแล้วพวกเขาจะคอยแต่วิพากย์วิจารณ์สิ่งที่พวกเขาเห็น ว่าไม่สอดคล้องกับความเชื่อของสังคมที่มีอยู่โดยทั่วไป โดยที่พวกเหล่านี้จะเอาค่านิยมของคนในสังคมที่มีอยู่เป็นตัววัดถึงสิ่งที่ ควรและไม่ควรหรือสิ่งที่ผิดและถูก การพูดถึงหลักแห่งศิลธรรมและความประพฤติอันจะเปลี่ยนแปลงไปตามกระแส สังคมไม่ได้นั้นก็ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายสำหรับพวกเหล่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงดูถูกปฏิเสธและไม่สนใจใยดีต่อสิ่งนั้น อย่างไรก็ตามการวิพากวิจารณ์ของคริสเตียนที่มีต่ออิสลามนั้นเป็นคนละประเด็น กัน เพราะชาวคริสเตียนนั้นก็เชื่อในพระเจ้าและในความเป็นจริงแล้ว แม้แต่คริสเตียนเองก็ยังต่อต้านความคิดหรือความเชื่อที่ว่าศิลธรรมตลอดจน หลักธรรมคำสอนนี้สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมได้ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าความคิดเช่นนี้กำลังแพร่ระบาดอยู่ในสังคมปัจจุบันอัน เป็นสังคมที่แยกตัวเองออกจาศาสนาและถือว่าศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัว แต่กระนั้นก็ตามคริสเตียนเองก็ตกเป็นเหยื่อของความคิดเช่นนี้ไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจะเห็นได้ว่าค่านิยมของคนคริสเตียนส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะออกไปในแนว ลัทธิมนุษยธรรมของยุโรปตะวันตกหรือถ้าไม่เป็นเช่นนั้นอย่างน้อยพวกเขาได้รับ อิทธพลอย่างมากต่อแนวความคิดเช่นนี้ ค่านิยมของพวกเขาไม่ได้มีพื้นฐานมาจากคำภีไบเบิ้ล ถ้ามองทั้งในภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติ การที่คริสเตียนในปัจจุบันพยายามแอบอ้างและเรียกร้องสิ่งที่เรียกกัน ว่า อิสรภาพ เสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตรหรือไม่ก็สิทธิสตรีต่างๆนาๆที่พวกเขาชอบอ้างกันในประเทศยุโรปและ อเมริกา ทั้งหมดนั้นดูเหมือนเป็นแค่เพียงเรื่องตลกซึ่งอาจจะทำให้คนที่ถูกเรียกกัน ว่าอยู่ในโลกที่สามที่ไร้การศึกษาหลงเชื่อไปได้ แต่ถ้าใครก็ตามที่ได้ศึกษาดูถึงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็จะรู้ได้ทันทีว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นมาทั้งๆที่มีโบสถ์ของคริสอยู่แต่ไม่ได้เกิดขึ้นมา เพราะมีโบสถ์คริสเป็นเหตุ มัน เป็นสิ่งที่น่าแปลกที่คริสเตียนหลายๆ คนได้นำค่านิยมความเชื่อที่ไม่ใช่คริสเตียนเข้ามาผสมผสานกับค่านิยมหรือความ เชื่อที่เป็นไปตามคำสอนของคำภีร์ไบเบิ้ลโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวและหนึ่งใน ตัวอย่างนั้นก็คือแนวความคิดเรื่องชาตินิยมและ ลัทธิความรักชาติซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนโดยคนส่วนมากที่มาจากโป แตสแต้นที่เป็นนักเผยแพร่ศาสนาที่อาศัยอยู่ใน อเมริกา หรือแม้แต่คริสเตียนคนอื่นๆก็สนับสนุนความคิดเช่นนี้ จะเห็นได้ว่าในอเมริกานั้นสำหรับคริสเตียนที่ดีนั้นก็คือคริสเตียนที่โบกธง ชาติ ในบรรดาพวกที่มีความคิดที่คลั่งในการยึดลัทธิรักชาติเป็นชีวิตจิตใจ อันแสดงถึงความใจแคบนั้นถ้าจะมีก็น้อยคนนักในหมู่พวกเขาที่จะรู้ว่าการกระทำ เช่นนั้นแสดงออกถึงความเห็นแก่ตัวอีกความไม่เป็นสากล เพราะฉะนั้นการที่ลัทธิคลั่งชาติและศาสนาคริสไปด้วยกันได้ดีอย่างที่หลายๆ คนเห็นนั้นก็เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าบางครั้งเราก็ตกหลุมพรางโดย ที่ไม่รู้ตัวกับความเชื่อที่ว่ามาตรฐานหรือกฎเกณแหล่งศิลธรรมและจริยธรรม นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามกาลเวลาสถานที่และโอกาสได้โดยไม่มีอะไรตายตัว ซึ่งบางทีเราก็มีความคิดเช่นนี้โดยไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำไป

ในศาสนายิว คริสเตียน และอิสลามนั้นสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิดจะต้องถูกกำหนดโดยพระผู้เป็นเจ้าเพียงอย่างเดียว เมื่อ เป็นเช่นนี้แล้วหลักแห่งศิลธรรม และจริยธรรมก็ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์เวลาได้หรือเปลี่ยนแปลง ไปตามอำเภอใจหรือเปลี่ยนไปตามความชอบของแต่ละวัฒนธรรมประเพณีของคนในแต่ละ สังคม และจะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมและสังคมที่ไม่มีคำสั่งใช้คำสั่งห้ามที่บ่งไว้อย่าง ชัดเจนอันเป็นสิ่งที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าไม่ว่าจะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วสิ่งไหนดีสิ่งไหนชั่วสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิดก็จะถูกกำหนดโดยมาตรฐานทางวัฒนธรรมและสังคมที่มีอยู่นั้นๆ อันแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่นคนๆหนึ่งจะถูกถือว่าเป็นคนที่ไร้ศิลธรรมถ้าเขาได้ ฝ่าฝืนกฎเกณทอันเป็นที่ยอมรับของคนในสังคมที่ได้ตั้งกันไว้และดั่งที่เราจะ ได้เห็นต่อไปว่าการแต่งงานของท่านศาสดามูฮัมมัดกับท่านหญิงอาอีชะฮนั้น ถ้ามองกันทั้งในด้านหลักศีลธรรมและจริยธรรมที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าโดยตรงที่ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และในด้านมาตรฐานแห่งจารีตประเพณีที่มีอยู่ในสังคมในช่วงสมัยของท่านนั้น ถ้ามองจากทั้งสองด้านนี้แล้วก็จะเห็นว่าการที่ท่านศาสดาแต่งงานกับท่านหญิง อาอีชะฮนั้นถือเป็นเรื่องปกติและไม่ใช่เรื่องที่เสียหายและผิดศิลธรรมแต่ ประการใด แต่ในทางตรงกันข้ามสิ่งนี้กลับแฝงไว้ด้วยบทเรียนต่างๆที่ทรงคุณค่า ที่คนรุ่นต่อๆ มาจะได้เรียนรู้กันนอกเหนือจากนี้แล้วการแต่งงานเช่นนี้ก็ยังเป็นไปตามการ ปฏิบัติกันของชาวเซเมติค์(ปัจจุบันหมายถึงชาวอาหรับและชาวยิว)อีกด้วย รวมถึงผู้คนที่มีชีวิตอยูในช่วงสมัยแห่งคัมภีไบเบิ้ล จาก ข้อมูลที่จะนำมาเสนอต่อไปข้างล่างนี้ เราจะเห็นได้ว่ามันเป็นการหน้าไว้หลังหลอกเป็นอย่างมากที่จะมาวิพากวิจารณ์ ของท่านศาสดากับท่านหญิงอาอีชะฮในขณะที่เธอมีอายุเช่นนั้น ถ้าเป็นเช่นนั้นนั่นก็หมายความว่าคริสเตียนที่วิพากย์วิจารณ์ท่านศาสดามูฮัม มัดนั้นก็หลงเชื่อตัวเองไปว่าค่านิยมของพวกเขานั้นไร้เวลาและสามารถใช้ได้ ตลอดไปนับแต่ปัจจุบันและหลงไปอีกว่าค่านิยมของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ ในสมัยแห่งคัมภีไบเบิ้ล ดังนั้นได้โปรดพิจารณาสิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับอายุที่คน เราสามารถที่จะแต่งงานได้อย่างสมบูรณ์ว่าจะอยู่ในช่วงไหนของอายุ

ถ้า จะเอาผู้คนที่อาศัยอยู่ในสังคมนั้นๆ มาเป็นตัวที่จะมาตัดสินว่าอะไรควรอะไรไม่ควรหรืออะไรผิดอะไรถูกโดยมองควบคู่ ไปกับกฎและหลักแห่งศิลธรรมที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า เราจะเห็นได้ว่าในยุคแห่งคำภีไบเบิ้ลนั้นผู้หญิงจะแต่งงานในช่วงที่เธอบรรลุ สู่วัยเจริญพันธุ์แต่อย่างไรก็ตามถ้าเรามองดูในยุคกลางแล้วก็จะเห็นได้ว่า โดยปกติแล้วผู้หญิงจะแต่งงานเมื่อได้อายุ12ปี แต่ในปัจจุบันในประเทศคริสเตียนส่วนใหญ่ผู้หญิงจะแต่งงานเมื่อเมื่ออายุได้ 14-16ปี

จะ เห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าคริสเตียนอาจจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่แพร่หลายระบาดกันอยู่อย่าง ด่างดื่นในสังคมตะวันตกปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องยาเสพติด การแต่งงานของพวกรักร่วมเพศ การทำแท้ง สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านี้แม้คริสเตียนจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งเหล่านี้ก็ตาม แต่คริสเตียนก็กลับถูกกลืนเข้าไปโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ โดยพวกเขาหลงเชื่อไปว่าศิลธรรมหลักคำสอนนั้นสามารถเปลี่ยนไปได้ตามกระแส สังคมตาม แต่โอกาสและสถานที่ซึ่งความคิดเช่นนี้เปรียบเสมือนปีศาจอันชั่วร้าย แน่นอนที่สุดพวกเขาอาจจะยอมแพ้ให้กับความเชื่อเช่นนั้นช้ากว่าผู้ที่ไม่ เชื่อเลยว่าหลักแห่งศิลธรรมนั้นจะต้องมาจากพระผู้เป็นเจ้าแต่ถึงกระนั้นพวก เขาก็กำลังพ่ายแพ้ให้กับสิ่งนั้น

ถ้ามองกันในด้านประวัติศาสตร์แล้วจะเห็นว่าอายุที่ผู้หญิงพร้อมที่จะแต่งงานได้นั้น ก็คือเมื่อเธอบรรลุสู่วัยเจริญพันธ์ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยช่วงเวลาแห่งคัมภีไบเบิ้ลดั่งที่เราจะได้เห็นกันต่อไป และสิ่งนี้ก็เป็นตัวที่จะมากำหนดอายุของการแต่งงานของคนในสังคมอันเป็นสังคมหรือกลุ่มชนที่ถูกเรียกว่าโบราณ ที่มีอยู่ทั่วโลกซึ่งชาวตะวันตกที่มีความอาจหาญและหยิ่งในวัฒนธรรมของตัวเองเรียกพวกเขาว่าเป็นสังคมหรือชุมชนโบราณหรือดึกดำบรรพ์ และจะเห็นได้ว่าวัยเจริญพันธุ์นั้นเป็นเครื่องบ่งบอกทางด้านชีววิทยา ที่ว่าผู้หญิงสามารถที่จะให้กำเนิดบุตรได้ และจะมีใครบ้างไหมที่จะมีสติปัญญาจะกล้าพอที่จะปฏิเสธสิ่งนี้ได้ เนื่องจากความพร้อมที่จะแต่งงานทเมื่อบรรลุเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์นั้นเป็น สิ่งที่ปกติในสังคมประเพณีของชนชาวซิเมติกตลอดจนชุมชนอีกหลายๆแห่งที่มีอยู่ ในปัจจุบันนี้ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าสิ่งนี้มิใช่เป็นสิ่งที่ถูกประดิษขึ้นมาใหม่โดยอิสลาม แต่สิ่งที่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกประดิษขึ้นมาใหม่มากกว่าเมื่อเทียบกันดูแล้ว ก็คือ การ ออกมาต่อต้านถึงมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับกันในทัศนะของพระผู้เป็นเจ้าอีกทั้ง เป็นสิ่งที่ผู้คนในประวัติศาสตร์ในอดีตให้การยอมรับกันตลอดมา

การวิ พากวิจารณ์ถึงการแต่งงานของท่านศาสดามูฮัมมัดกับท่านหญิงอาอีชะนั้นเป็นสิ่ง ที่เกิดขึ้นมาใหม่เมื่อเปรียบเทียบดูแล้วเพราะสิ่งนี้เกิดขึ้นมาจากค่านิยม ของยุโรปที่มีมาหลังยุคที่เรียกกันว่ายุค(Enlightenment)ยุค แห่งความสว่างทางด้านความคิดและสติปัญญานั่นก็คือยุคหลังศตวรรษที่18ไป และชาวยุโรปเองก็เป็นผู้ที่ทิ้งหลักธรรมคำสอนทางด้านศิลธรรมในศาสนาของตนเอง หรือไม่เช่นนั้นก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับค่านิยมของพวก ลัทธิมนุษยธรรมโดยที่ลัทธินี้สอนให้มนุษย์เป็นผู้กำหนดเองว่าอะไรดีอะไรชั่ว และเป็นที่น่าสังเกตอีกว่า คริสเตียนในช่วงแรกๆนั้นจะคอยวิพากวิจารณ์อย่างหน้าใว้หลังหลอกถึงการที่ ท่านศาสดามู่ฮัมมัดมีภรรยาหลายคน แต่ถึงกระนั้นก็ตามก็พวกเขาก็ไม่คิดที่จะไม่วิพากวิจารณ์เรื่องการต่างงาน ของท่านศาสดากับท่านหญิงอาอีชะฮแต่พอมาช่วงหลัง พวกเขากลับมาหยิบยกประเด็นนี้มาโจมตีและนี้คือความหน้าไหว้หลังหลอกของพวก ที่เรียกตัวเองว่าสมัยใหม่ แน่นอนที่สุดผู้ที่อยู่ในดินแดงตะวันออกกลางที่มีภูมิหลังจากชาวเซมิ ติกนั้นสำหรับพวกเขานั้น ไม่เห็นมีอะไรที่ควรต่อการวิพากวิจารณ์เลย เพราะพวกเขาไม่เห็นสิ่งนี้เป็นสิ่งผิดปกติหรือผิดศิลธรรมแต่ประการใดแต่พวก คริสเตียนชาวยุโรปต่างหากที่กลับเป็นผู้ที่ริเริ่มวิพากวิจารณ์ ต่อท่านศาสดามูฮัมมัดเกี่ยวกับเรื่องนี้

ตาม กฎหมายอิสลามแล้วทั้งเพศชายและเพศหญิง จะต้องมีความรับผิดชอบในส่วนต่างๆตามกฎหมายเมื่อเขาหรือหล่อนได้บรรลุสู่วัย เจริญพันธุ์เรียบร้อยแล้ว เมื่อเขาทั้งสองบรรลุสู่วัยนี้แล้วพวกเข้าก็จะได้รับอนุญาตให้ทำสิ่งต่างๆ ได้และจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำสิ่งต่างๆ ของตัวเองและในอิสลามนั้นไม่เป็นที่อนุญาติและถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายด้วยที่ จะบังคับให้ใครคนใดคนหนึ่งแต่งงานโดยที่ตัวเขาเอวงไม่มีความสมัครใจ และนี้จึงเป็นหลักฐานบ่งชี้อีกว่าการแต่งงานของท่านหญิงอาอีชะกับท่านศาสดา นั้นเป็นไปด้วยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย ดังนั้นเมื่อมองจากทางด้านประเพณีวัฒนธรรมสมัยนั้นแล้วจึงไม่มีใครเห็นการ แต่งงานของท่านทั้งสองเป็นสิ่งผิดแต่ประการใด แต่ในทางตรงกันข้ามชีวิตการแต่งงานของท่านทั้งสองกลับมีความสุขและราบรื่บไป ได้ด้วยดี

เมื่อ พิจารณาจากสังคมในสมัยนั้นดูแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าไม่มีหลักฐานในอิสลามสักแหล่งเดียวที่รายงานว่ามีใครคนใดคน หนึ่งลุกขึ้นมาวิพากวิจารณ์การแต่งงานของท่านศาสดากับท่านหญิงอาอีชะอัน เนื่องมาจากอายุของหล่อนที่ยังน้อยอยู่ แต่ในทางตรงกันข้ามการแต่งงานของท่านหญิงอาอีชะฮกับท่านศาสดา กลับได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากพ่อของท่านหญิงอาอีชะฮเองนั่นคือท่านอ บูบักรและการแต่งงานของทั้งสองก็ยังเป็นที่ยินดีในผู้คนในสังคมโดยรวมด้วย ดังนั้นจากประเพณีและวัฒนธรรมแบบชนชาวเซมิติกที่พวกเขาอาศัยอยู่ พวกเขาจึงไม่เห็นการแต่งงานเช่นนี้เป็นเรื่องแปลกแต่ประการใด

เมื่อ พิจารณาดูจากความคิดความอ่านตลอดจนความรู้สึกนึกคิดทั้งด้านความรัก ครอบครัวตลอดจนการแต่งงานในสมัยแห่งคัมภีร์ไบเบิ้ลหรือในสมัยของท่านศาสดามู ฮัมมัดนั้น มีความแตกต่างกันมากกับสังคมตะวันตกในปัจจุบันที่เรียกตัวเองว่าสมัยใหม่และ มีอารยธรรมรุ่งเรือง แต่ก็เป็นที่น่าเศร้าที่คนส่วนมากยังมีความรักแบบโรแมนติกที่ผสมผสานไปกับ เรื่องราวของเซ็กซ์หรือเรื่องเพศ ซึ่งสิ่งเหล่าที่จะเป็นตัวที่จะมาคอยทำร้ายความรู้สึกนึกคิดของคนและสิ่งนี้ ก็เกิดขึ้นมาตั้งจากชาวยุโรปตลอดจนแนวความคิดของพวกเขาเริ่มมีอิทธพลต่อชาว โลก และมุสลิมหลายต่อหลายคนก็ตกเป็นเหยื่อแห่งแนวความคิดเช่นนี้ด้วย ถึงแม้อำนาจแห่งการล้าแสวงหาเมืองขึ้นของชาวยุโรปจะหมดไปจากดินแดนชาวมุสลิม แล้วก็ตาม แต่กระนั้นการล่าเมืองขึ้นแห่งจิตรใต้สำนึกแห่งความรู้สึกนึกคิดก็ยังคงมี อยู่ต่อไป แต่เป็นที่น่าเศร้าที่คนส่วนใหญ่นึกไม่ถึงว่าตัวเองกำลังตกอยู่ภายใต้อิทธพล แห่งความชั่วร้ายเช่นนี้อยู่

 

ตอนนี้เราหันมาดูบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับอายุในช่วงเวลาแห่งคัมภีร์ไบเบิ้ลดูที่ผู้คนแต่งงาน ซึ่งบทความนี้ได้บอกถึงประเพณีการแต่งงานตามแบบของชาวยิวโบราณ จากหนังสือซึ่งมีชื่อว่า “ประเพณีการแต่งงานตามแบบของชาวยิวโบราณ” เขียนโดย จิมเวสท โดยบทความนี้ได้กล่าวว่า

ผู้ ที่เป็นภรรยานั้นจะได้มาจากวงวานของครอบครัวที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งปรกติจะทำเช่นนั้นโดยเริ่มตั้งแต่การบรรลุเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์หรือ เมื่ออายุประมาณ 13 ปี ทั้งนี้เพื่อรักษาความบริสุทธิของสายตระกูลเอาไว้ นี้เพียงแค่เป็นหนี่งในบรรดาข้ออ้างอิงทั้งหลายที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ ว่าการย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ถือว่าเป็นช่วงอายุที่คนหนึ่งคนใดสามารถที่จะแต่งงานได้และก็เป็นที่ทราบกัน ดีด้วยที่ว่าในช่วงเวลาแห่งคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นผู้คนจะเริ่มแต่งงานกันในช่วง ต้นๆของอายุ

จีรัลเซกัลดฺได้อธิบายถึงคำว่า อัลมะฮฺซึ่งเป็นภาษาฮิบรู แปลว่าหญิงสาว หรือหญิงที่เข้าสู่วัยสาวโดยที่เขาได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงสมัยแห่งคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นเพศหญิงจะแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย”(2)

ถึงแม้ชาวตะวันตะจะเรียกวัฒนธรรมในทำนองอื่นที่แตกต่างไปจากพวกเขาอย่างหยิงยะโสว่า เป็นสิ่งที่โบราณดึกดำบรรณ์ก็ตาม แต่เมื่อเราหันมาดูข้อเท็จจริงของศาสนาทั้งหลายของโลกก็จะพบว่า การบรรลุสู่วัยเจริญพันธุ์นั้นถือว่าป็นเครื่องหมายแห่งการเป็นผู้ใหญ่

เกือบจะแทบทุกวัฒนธรรมที่มีมาในอดีตแต่ยาวนาน เราจะเห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกันเป็นพิเศษกับการเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ตลอดจนพิธีการแต่งงาน ถึงแม้ว่าแนวโน้มโดยทั่วไปแล้วที่จะให้ความสำคัญ กับพิธีกรรมต่างๆที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ของเพศชายมากกว่าเพศหญิงก็ตาม นี่ก็เนื่องจากว่าการบรรลุเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์และการแต่งงานนั้นเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่า เด็กคนนั้นได้เติบโตขึ้นกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ใน วัฒนธรรมที่มีมาก่อนช้านาน ส่วนใหญ่จะถือว่า พิธีกรรมต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับการบรรลุเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์และการแต่ง งานนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก พิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับวัยนี้ก็มักจะตามมาด้วยกับพิธีกรรมการคลิปหนัง หุ้มปลายอวัยวะเพศ แต่ถึงกระนั้นการตัดหนังหุ้มแคมช่องคลอดทิ้งก็เป็นสิ่งที่ทำกันน้อยและไม่ นิยมทำกัน ถึงแม้จะมีหลายๆวัฒนธรรมทำกันก็ตาม และการบรรลุเข้าสู่วัยนี้ของผู้หญิงก็มักจะมีการเริ่มมีประจำเดือนของ ผู้หญิงเป็นเครื่องบ่งบอกนักเขียนเพศหญิงบางคนก็เห็นด้วยกับสิ่งนี้โดยที่ พวกเขาได้กล่าวว่า

สิ่ง ที่จะมาเป็นตัวกำหนดถึงวัยเจริญพันธุ์ก็คือการที่คนๆหนึ่งสามารถให้กำเนิด บุตรได้ และถ้าย้อนกลับไปดูในหน้าประวัติศาสตร์ก็จะเห็นว่ามีพิธีกรรมเฉลิมฉองอัน เนื่องมาจากสิ่งนี้ด้วยซึ่งถือเป็นส่วนที่สำคัญของวัฒนธรรมนั้นๆด้วย การมีประจำเดือนนั้น เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการผ่านจากการเป็นเด็กหญิงเข้าสู่การเป็นสตรีที่ สมบูรณ์ตามประเพณีที่มีกันมา

หลักฐานอ้างอิงอีกอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันเกี่ยวกับการแต่งงานเมื่อบรรลุวัยนี้ ได้จากบทความที่เกี่ยวกับเรื่อง แอฟริกากลางซึ่งได้กล่าวไว้ว่า “หญิงจะแต่งงานภายหลังจากที่หล่อนได้บรรลุสู่วัยเจริญพันธุ์ได้ไม่นาน” (3) จาก สิ่งต่างๆที่ได้อ้างอิงมาข้างบน ตลอดจนหลักฐานอื่นๆที่ได้มากล่าวไว้ ณ ที่นี้ก็น่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ต่อผู้มีสติปัญญาทั้งหลายให้เห็นถึงสิ่งที่ นักมานุษวิทยาและนักประวัติศาสตร์ได้รู้มาก่อนหน้านี้แล้วนั้นก็คือ ในอดีตนั้น คนๆหนึ่งจะถือว่าสามารถและมีความพร้อมที่จะแต่งงานได้แล้วเมื่อพวกเขาได้ บรรลุเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์

ถึงแม้จะเป็นที่ยืนยันทั้งในทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมประเพณีตลอดจนมาตรฐานทางด้านศาสนาแล้วก็ตาม ถึงสิ่งที่แสดงความพร้อมในการแต่งงาน แต่ก็อาจจะมีคนบางคนที่อาจจะถามขึ้นมาว่า แล้วอายุเท่าไหร่ที่วัยแห่งการเจริญพันธุ์จะเกิดขึ้น? อับ ดุลฮามิดซิดดีกีได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้โดยที่ท่านได้กล่าวว่าสำหรับ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการบรรลุเข้าสู่วัยนี้และเกี่ยวอายุที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ จะมีรอบเดือนนั้น อิสลามไม่ได้กำหนดอายุตายตัวสำหรับการบรรลุเข้าสู่วัยนี้เพราะสิ่งนี้จะแตก ต่างกันไปตามแต่ละประเทศและเผ่าพันธุ์ ทั้งนี้เนื่องมาจากสภาพอากาศและกรรมพันธุ์ตลอดจนสภาพทั้งทางด้านกายภาพและ สังคม ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวจะบรรลุเข้าสู่วัยนี้ช้ากว่ามาก เมื่อเทียบกับผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตร้อน ซึ่งในเขตร้อนนี้ทั้งเพศชายและเพศหญิงจะบรรลุเข้าสู่วัยนี้เมื่ออายุค่อน ข้างน้อย ผู้เรียบเรียงหนังสือเกี่ยวกับสตรีหลายๆท่านที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้กล่าวออกความเห็นไว้ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศและภูมิภาคนั้นๆ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญไม่เพียงแต่ในด้านการมีรอบเดือนแต่เท่านั้นแต่ยังมี ส่วนต่อขบวนการพัฒนาทางเพศโดยรวมเมื่อได้บรรลุเข้าสู่วัยนี้แล้ว(4) ราซีบอสกี๊ เจอเบริท เราท และอีกหลายๆคนได้รวบรวมและศึกษาจากสถิติต่างๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ดู และมาเรียแอสพีโน๊ได้สรุปจากสถิติต่างๆเหล่านี้ออกมาว่า ช่วงที่เพศหญิงจะสามารถมีประจำเดือนได้ตามที่ได้มีปรากฏมาเป็นครั้งแรก คือช่วงระหว่างอายุ 9-24 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเขตของอุณหภูมิ อายุโดยเฉลี่ยจะแตกต่างกันไปอย่างมากแต่ก็อาจที่จะกล่าวยืนยันได้ว่า ถ้ายิ่งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะมีประจำเดือนเร็วขึ้นมากเท่านั้น

นอกเหนือจากนี้แล้วก็ยังมีบทความที่ชื่อ “การบรรลุเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ในเด็กผู้หญิง” ซึ่งออกโดยองค์การณ์สาธรณะสุขของรัฐบาลออสเตรีย ได้กล่าวไว้ว่า โดยปรกติแล้วเครื่องบ่งชี้ประการแรกสำหรับการบรรลุเข้าสู่วัยนี้ก็คือ การเจริญเติบโตอย่างเห็นได้ชัด เช่น สูงขึ้น มีหน้าอกใหญ่ขึ้น เริ่มมีขนขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ และใต้รักแร้ โดยที่สิ่งเหล่านี้อาจจะเริ่มมีได้ตั้งแต่เมื่อถึงอายุ 10-14 ปี หรืออาจจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหรือหลังจากนั้นสำหรับบางคนก็ได้ ในบทความเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพของเด็กหญิง ในช่วงการเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์” ได้กล่าวไว้ว่า ในช่วงการบรรลุเข้าสู่วัยนี้นั้นร่างกายของเพศหญิงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายในร่างกาย การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่เกิดขึ้นมาพร้อมๆกันทีเดียวและจะเกิดขึ้นต่างกันไปในแต่ละบุคคล ผู้หญิงส่วนใหญ่จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพเมื่ออายุได้ 11 ปี แต่กระนั้นก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ว่าใครจะมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงใด แต่กระนั้นมันก็เป็นสิ่งที่ปรกติที่การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่ออายุ 8-9ปี หรือ ไม่ก็หลังจากอายุ 13-14 ปี ถึงแม้ว่ามองดูภายนอกจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ตามแต่กระนั้นการเปลี่ยนแปลง ก็อาจที่จะเกิดขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วในภายในร่างกายของเด็กหญิง

หลายๆ คนอาจจะเห็นด้วยกับข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา แต่กระนั้นก็อาจจะยังมีข้อสงสัยอีกว่า จะเป็นไปได้หรือที่การแต่งงาน กับชายที่มีอายุมากกว่าจะทำให้ชีวิตของหญิงสาวในวัยแรกเริ่มนั้นมีความสุข ได้ แต่กระนั้นถ้าเราได้ปล่อยวางความเชื่อหรือค่านิยมแบบตะวันตกที่มีอยู่ในสมัย ปัจจุบันนี้ ในเรื่องของคำจำกัดความของคำว่า ความสุข เอาไว้ก่อน แล้วหันกลับมามองชีวิตการแต่งงานของท่านศาสดากับท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราก็จะเห็นได้เป็นอย่างดีว่าท่านทั้งสองนั้นมีความสุขและมีความรักใคร่ซึ่ง กันและกัน ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ดั่งที่เราจะเห็นได้จากฮะดีษหลายๆบท ตลอดจนผลงานที่เกี่ยวกับชีวประวัติของท่านศาสดา และในหมู่นักจิตวิยานั้น เป็นที่รู้กันดีว่า ความสุขในชีวิตการแต่งงานนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ แม้ว่า อายุของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะต่างกันค่อนข้างมากก็ตาม

เมื่ออายุห่างกันมากโดยที่อาจจะห่างกัน 15-20 ปี แต่กระนั้นชีวิตในการแต่งงานก็อาจที่จะมีความสุขมากกว่าที่คิดก็ได้ การที่หญิงสาววัยแรกเริ่มคนหนึ่งได้แต่งงานกับชายที่มีอายุค่อนข้าง มากแต่กระนั้นชายคนนั้นก็ยังมีความแข็งแรงไม่หลงลืมหรือเล้อเลือนอันเนื่อง มาจากความแก่ชรา บ่อยครั้งที่เราพบว่าชีวิตการแต่งงานของเขาทั้งสองก็ยังดำเนินไปได้อย่างดี ราบรื่นและได้รับความสำเร็จเป็นอย่างมาก และฝ่ายหญิงก็จะสามารถที่จะปรับตัวไปได้เองโดยอัตโนมัติ(5)

บท เรียนอีกประการหนึ่งที่เราได้รับบทเรียนจากการแต่งงานของท่านศาสดากับท่าน หญิงอาอิชะฮฺก็คือ การแต่งงานของท่านทั้งสองนี้เป็นสิ่งที่จะมาลบล้างความเชื่อที่มีอยู่ที่ว่า ชายคนหนึ่งไม่สามารถที่จะแต่งงานกับลูกสาวของเพื่อนของเขาได้เพราะว่าชายคน นี้มีความสนิทกับเพื่อนของเขามากจนถึงขั้นเป็นเหมือนพี่เหมือนน้องกันในแนว ทางของศาสนา กล่าวง่ายๆก็คือทั้งท่านศาสดามู่ฮัมมัดและท่านอบูบักรนั้น มีความสนิทชิดเชื้อกันมากจนกระทั่งว่าท่านทั้งสองได้ประกาศตัวถึงความเป็น พี่น้องกันถึงแม้ท่านทั้งสองจะไม่ใช่พี่น้องทางสายเลือดกันก็ตาม ด้วยเหตุนี้ความเชื่อที่ว่าห้ามแต่งงานเช่นนี้จึงหมดไป ดังที่มีรายงานในฮะดีษต่อไปนี้ :

ท่านอุรซาได้รายงานว่า ท่านศาสดาได้ขอท่านอบูบักรที่จะแต่งงานกับท่านหญิงอาอิชะฮฺ ท่านอบูบักรจึงกล่าวขึ้นว่า แต่ทว่า ผม(ท่านอบูบักร)เป็นพี่น้องกับท่าน ท่านศาสดาจึงกล่าวว่า ท่านเป็นพี่น้องกับฉันในศาสนาของอัลลอฮฺและคัมภีร์ของพระองค์ แต่ทว่าหล่อน(อาอิชะฮฺ) เป็นที่อนุมัติที่จะแต่งงานกับฉัน (ซอเฮี๊ยะ บุคอรี เล่ม 7 บทที่ 62 ฮะดีษที่ 18)

**สำหรับฮะดีษที่นำมานั้นได้นำมาจากแหล่งอ้างอิงที่เป็นภาษาอังกฤษสามารถอ่านได้ที่ http://www.usc.edu/dept/MSA/fundamentals/hadithsunnah/

 

ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าชีวิตของท่านศาสดานั้นเป็นแบบอย่างและแบบฉบับอันยิ่งใหญ่สำหรับมวลมนุษย์ชาติ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะอาศัยอยู่ณที่ไหนก็ตามไม่ว่าเขาผู้นั้นจะถูกล้อมรอบด้วยอารยธรรมหรือประเพณีไหนก็ตาม แบบฉบับของท่านศาสดานี้ก็สามารถที่จะถูกดำเนินตามได้ทั้งในอดีตจนมาถึงปัจจุบัน ท่านศาสดาไม่เป็นเพียงแต่ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่เพียงเท่านั้นหากแต่ท่านยังเป็นทั้ง รัฐบุรุษ ผู้นำกองทหาร เป็นนักปกครอง เป็นนักธุรกิจ เป็นครูเป็นทั้งเพื่อนบ้านอีกทั้งเป็นเสมือนเพื่อนที่ดีของทุกๆคนในถานะที่ท่านศาสดามีบทบาทเป็นทั้งสามีและพ่อ ดังนั้นชีวิตในครอบครัวของท่านจึงสามารถนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดีสำหรับผู้คนทั้งหลาย สำหรับผู้ที่แต่งงานกับหญิงที่มีอายุมากกว่าเขาท่านศาสดาก็สามารถที่ จะเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของเขาได้ สำหรับผู้ที่เป็นงานกับหญิงที่มีอายุน้อยกว่าเขามาก ท่านศาสดาก็สามารถที่จะเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของเขาได้อีกเช่นกัน สำหรับผู้ที่แต่งงานกับแม่ม้ายก็อีกเช่นกันที่เขาผู้นั้นสามารถที่จะดูแบบ อย่างในการดำเนินชีวิตในท่านศาสดาได้ ดังนั้นพระองค์อัลลอฮฺทรงเลือกศาสดามู่ฮัมมัดเป็นศาสดาองค์สุดท้าย และยังได้ให้ชีวิตของท่านศาสดาท่านสุดท้ายนี้ได้เผชิญพบเจอกับเหตุการณ์อัน หลากหลายทั้งดีและไม่ดีทั้งชีวิตในส่วนตัวและชีวิตในด้านสังคม ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เป็นแบบอย่างอันสมบูรณ์เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ปฎิบัติตาม ถ้าจะถามว่ามีพระเอกหรือฮีโร่ในดวงใจคนไหนบ้างในประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ ที่เป็นที่รักและครองใจผู้คนได้นานที่สุดและมากที่สุด ท่านศาสดามูฮัมมัดก็คือคนๆนั้น มีชีวิตมนุษย์คนไหนบ้างตั้งแต่ 1,400 กว่าปีที่แล้จนถึงปัจจุบันที่ผู้คนคอยที่จะจับตามองทุกย่างก้าวและการกระทำ ของชีวิตของเขาเพื่อที่จะนำมาเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต คนๆนั้นก็คือท่านศาสดามู่ฮัมมัด มีใครบ้างในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่ประสบกับความสำเร็จทั้งในด้านชีวิตความเป็นอยู่ในครอบครัว ด้านศาสนา ด้านการเมืองการปกครอง ด้านการทหาร ด้านเศษฐกิจและสามารถปฎิวัติชาวอาหรับป่าเถื่อนภายในระยะเวลา23 ปี คนๆนั้นก็คือท่านศาสดามู่ฮัมมัด และถ้าจะถามขึ้นอีกว่ามีนักปกครองคนไหนบ้างในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ผ่านมาที่ ประสบกับความสำเร็จสูงสุดในการทำลายลบล้างความเชื่อในเรื่องการแบ่งสีผิวเชื้อชาติตลอดจนเผ่าพันธุ์ คนๆนั้นก็คือท่านศาสดามูฮัมมัดอีกเช่นกัน

 

“ผมได้แสวงหามองดูว่ามีใครกันบ้างที่ชีวิตของเขาผู้นั้นสามารถครองใจผู้คนจำนวนเป็นล้านๆ ได้โดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ และแล้วผมก็มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งและประจักษ์กับตัวเองแล้วว่า จริงๆแล้วมันไม่ใช่คมดาบที่ทำให้อิสลามได้รับชัยชนะถึงเพียงนี้ หากแต่ว่า ด้วยกับความประพฤติที่เรียบง่ายแห่งวีถีการดำเนินชีวิตของท่านศาสดา ความหนักแน่นในศิลธรรมความดี ความมีใจเสียสละเป็นที่สุดต่อมิตรสหาย ความกล้าหาญ ไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด ความมีจิตใจที่มอบหมายไว้วางใจในภาระหน้าที่ของท่านต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างที่สุด สิ่งเหล่านี้ต่างหาก ไม่ใช่คมดาบ ที่ทำให้ท่านเอาชนะและเผชิญกับอุปสรรคทั้งหลายไปได้ด้วยดี เมื่อได้อ่านชีวประวัติของท่านศาสดาผู้นี้จบเล่มที่สอง ผมก็รู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ไม่มีเล่มสามให้ผมอ่านต่อถึงชีวิตอันยิ่งใหญ่แห่งศาสดาผู้นี้”

(Mahatma Gandhi, statement published in 'Young India,'1924)

 

“มูฮัมมัดเป็นผู้นำทางศาสนาอีกทั้งป็นศาสดาที่ได้รับความสำเร็จมากที่สุดในบรรดาผู้นำทางศาสนาและศาสดาทั้งหลายของโลก” (Encyclopedia Britannica)

“จงกล่าวเถิด(มูฮัมมัด) ว่าแท้จริงฉันถูกห้ามมิให้เคารพสักการะบรรดาผู้ที่พวกท่านวิงวอนกันอยู่ อื่นจากอัลลอฮฺ จงกล่าวเถิด ฉันจะไม่ปฎิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเจ้า ถ้าเช่นนั้น แน่นอน ฉันก็ย่อมหลงผิดไปด้วยและฉันก็จะไม่ใช่เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ได้รับคำแนะนำ” (คำแปลคัมภีร์อัล-กุรอาน บทที่ 6 โองการที่ 56)

 

“พระองค์คือผู้ทรงส่งรอซูลของพระองค์พร้อมด้วยแนวทางที่ถูกต้องและศาสนาแห่งสัจธรรม เพื่อพระองค์จะทรงให้ศาสนา ( ของพระองค์) นั้นประจักษ์แจ้งเหนือศาสนาอื่นทั้งมวล ถึงแม้พวกตั้งภาคีจะเกลียดชังก็ตาม”(คำแปลคัมภีร์อัล-กุรอาน บทที่ 61 โองการที่ 9)

 

“โดยแน่นอน ในรอซูลของอัลลอฮฺมีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว สำหรับหวังที่(จะพบ) อัลลอฮฺและวันปรโลกและรำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมาก”(คำแปลคัมภีร์อัล-กุรอาน บทที่ 33 โองการที่ 21)


 

 

เเปลโดย อ ชารีฟ วงศ์เสงี่ยม



Maintained by: e-Daiyah Group (1429 H - 2008).