ชนในยุคแห่งชัยชนะ

“ชนในยุคแห่งชัยชนะ” บอกเล่าถึงคุณลักษณะของกลุ่มชนที่ก้าวผ่านทุกปัญหาอุปสรรค ปฏิเสธทุกความหย่อนยานและความสุดโต่ง ตัดสินปัญหาด้วยกับความรู้ และความเข้าใจต่อสถานการณ์อย่างแท้จริง เข้าใจกฎเกณฑ์ของอัลลอฮฺในการสร้างสรรค์ เสมือนดั่งที่เข้าใจต่อหุก่มในบทบัญญัติอิสลาม

“กลุ่มชน” ที่มีความศรัทธามั่นด้วยวิชาความรู้ ใคร่ครวญด้วยสติปัญญา ปฏิเสธทุกความหันเหบิดเบือน ศึกษาทำความเข้าใจอัลกุรอานและซุนนะฮฺ
การพิจารณาใคร่ครวญ...เป็นฟัรฏู
การศึกษาค้นคว้า...เป็นญิฮาด
ดังนั้น...การศึกษาค้นคว้าต้องมาก่อนการปฏิบัติ เข้าใจต่อปัญหาก่อนการปฏิบัติ ก่อนการตัดสิน

“กลุ่มชน” แห่งพระผู้อภิบาล หัวใจของพวกเขาถักร้อยด้วยความรักอันพิสุทธิ์ที่มีต่ออัลลอฮฺ ทุกลมหายใจหมดไปกับการภักดีต่อพระองค์ ดังนั้น จึงอุบัติขึ้นด้วยอัลลอฮฺ เพื่ออัลลอฮฺ มาจากอัลลอฮฺ และกลับสู่อัลลอฮฺ...

“กลุ่มชน” ผู้มุ่งหาอัลลอฮฺ ผู้พร่ำขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ

“กลุ่มชน” ที่โลกกำลังรอคอยให้เกิดขึ้นตามคำมั่นสัญญาที่พระองค์ได้ให้ไว้

 

 


จากต้นฉบับ ??? ????? ???????  ดาวน์โหลดภาษาอาหรับได้จาก ที่นี่

ผู้เขียน... ดร.ยูซุฟ อัลก็อรฎอวีย์ – ยากเกินหาคำนิยาม...ห้องสมุดอิสลามทั่วโลกได้รับประโยชน์อย่างมากมายจากหนังสือ และความรู้ของท่าน

ผู้แปล...ยูซุฟ อบูบักรฺ – ไร้คำนิยาม....เป็นนามแปลกใหม่ในบรรณภพอิสลาม คิดตั้งนานกว่าจะตัดสินใจส่งงานแปลชิ้นนี้สู่สำนักพิมพ์.

เผยแพร่ครั้งแรกที่ e-Daiyah.com

บทนำ - ชนในยุคแห่งชัยชนะ

เพื่อนของฉันกล่าวว่า “ความวุ่นวายแพร่กระจายไปทั่ว ความเศร้าโศกเสียใจแผ่คลุมทุกหัวระแหง" หลังจากเขาเห็นเหตุการณ์หลั่งเลือดในเบรุต และโศกนาฏกรรมในศ็อบรอและชาติลา เป็นการทารุณอย่างเหี้ยมเกรียม กระแสโลหิตแห่งอิสลามหลั่งรินโดยมิสามารถคำนวณได้ เหตุการณ์ครั้งนั้นได้พรากชีวิตเด็ก ผู้หญิง คนชรา อย่างไม่มียางอายหรือความหวาดหวั่นต่อสิ่งใด บ้านเรือนถูกทำลายพังพินาศ ทรัพย์สินเสียหายย่อยยับ การย่ำยีบีฑาแพร่กระจายออกไป ถึงแม้จะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นกับชนชาติอาหรับโดยเฉพาะ มันก็เหมือนกับการกระทำต่อมุสลิมโดยภาพรวม ความตายของพวกเขาช่างเปราะบางเหลือเกิน ประหนึ่งปีกของแมลงวัน โลกใบนี้ดูเหมือนจะใกล้ถึงวันอวสานเข้าทุกทีแล้ว แต่แม้ว่าจากซีกโลกตะวันออกถึงซีกโลกตะวันตกจะสั่นสะเทือนไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวสักปานใด โลกทั้งใบก็ยังคงเงียบกริบ ไม่มีใคร ไม่มีผู้ใดกล้าปริปากพูด ท่านไม่เห็นดอกหรือ ? ท่านไม่ได้ยินดอกหรือ ?” ฉันกล่าวว่า “หามิได้ ฉันเห็น ! ฉันได้ยิน ! แต่ฉันก็มิต่างอะไรจากคนอื่น ต้องจำนนทนอาศัยอยู่กับความเจ็บปวดด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว เหมือนเรือนร่างถูกเผาผลาญ กระดูกถูกบดบี้ เมื่อฉันเห็นท่าทีของอาหรับที่ต่างผินหลังให้แก่กัน นั่นก็แสดงให้เห็นถึงลางบอกเหตุแห่งความอ่อนแอของมุสลิม ! ก่อนหน้านี้ประเทศอิสลามถูกยัดเยียดสงครามถูกกรีดบาดแผลเอาไว้ เมืองต่าง ๆ ถูกโจมตีเผาผลาญ มัสยิดถูกทำลาย ผู้รูกั๊วะ ผู้สุญูดถูกเข่นฆ่าล้างผลาญ เกียรติของหญิงสาวผู้ศรัทธาถูกทำลายย่ำยี ถึงกระนั้น เราก็ไม่เห็นใคร ไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องใด ๆ จากอาหรับและบรรดามุสลิมที่จะลุกขึ้นมาเพื่อคัดค้าน หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อแสดงจุดยืนของพวกเขา เพื่อขัดขวางความเหี้ยมโหดทารุณนั้น หรือช่วยเหลือต่อผู้ที่อ่อนแอ ที่มีมาและที่มองเห็นก็คือความเงียบสนิทเหมือนอยู่ในกุโบร์ที่อ้างว้างท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด

ดังนั้นหากท่านได้ยินเสียงร้องตะโกนด่าทอซึ่งกันและกันของพวกเขา และวันหนึ่งพวกท่านเห็นพวกเขาเคลื่อนไหวด้วยพละกำลังอย่างห้าวหาญ เพื่อที่จะรบราซึ่งกันและกัน เหมือนดั่งพวกเขาต้องการกระทำให้ตรงกันข้ามกับแบบอ่ย่างของบรรดาศอฮาบะฮฺของท่านรอซูลุลลอฮฺ ซึ่งบรรดาชนเหล่านั้น “เป็นผู้เข้มแข็งกล้าหาญต่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา เป็นผู้เมตตาสงสารระหว่างพวกเขาเอง” (อัลฟัตหฺ / 29 ) แต่นี่พวกเขากลับแข็งกร้าว กล้าหาญต่อเฉพาะพวกเขา โค้งศีรษะนอบน้อมคารวะต่อบรรดาผู้ที่เป็นศัตรูของพวกเขา แท้จริงเกียรตินั้นเป็นของบรรดาผู้ศรัทธา และความตกต่ำเป็นของบรรดาผู้ปฏิเสธ ! แลดูเหมือนพวกเขาชมชอบลักษณะบุคลิกภาพของยะฮูดีย์ ซึ่งอัลลอฮฺได้บอกลักษณะของพวกเขาไว้ก่อนหน้านี้ “การเป็นศัตรูระหว่างพวกเขากันเองนั้นรุนแรงนัก พวกเจ้าคิดว่าพวกเขารวมตัวกันเป็นปึกแผ่น แต่(ความจริงแล้ว)หัวใจของพวกเขาแตกแยกกัน ทั้งนี้เพราะพวกเขาเป็นหมู่ชนที่ไม่ได้ใช้ปัญญาใคร่ครวญ” (อัลฮัชรฺ / 14)

เพื่อนของฉันกล่าวว่า “แต่ทว่า ความอธรรมที่เห็น จะเป็นครั้งสุดท้ายกระนั้นหรือ ? ค่ำคืนอันมืดมิดเช่นนี้จะมีแสงสว่างจากแห่งหนใดมาสาดส่องละหรือ ? ประชาชาติจะรู้และตระหนักถึงทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายของพวกเขาล่ะหรือ ? พวกเขาสามารถรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูแทนที่จะมารบกันเองได้หรือ ? พวกเขาคิดถึงตัวเอง หลังจากที่พวกเขาลืมประวัติศาสตร์ของตัวเองมาเนิ่นนานได้กระนั้นหรือ !? พวกเขาสามารถลบล้างความตกต่ำที่เกิดขึ้นจากความแตกแยกในอดีตด้วยกับเกียรติแห่งชัยชนะของอิสลามได้กระนั้นหรือ ? พวกเขาสามารถลบริ้วรอยของความพ่ายแพ้ และความตกต่ำที่ผูกมัดพวกเขามาเป็นเวลาเนิ่นนานด้วยกับวันที่ลำแสงสีทองผ่องอำไพได้ประกายสาดส่องไปทั่ว เหมือนกับวันที่ท้องฟ้าสว่างสมัยท่านคอลิดในสงครามยัรมูก ท่านซะอัดในสงครามคอดีซียะฮฺ ท่านอัมรฺในสงครามอัจญนาดีน ท่านตอริคในสมรภูมิอันดาลุส ท่านศอลาฮุดดีนในหิฏฏีน ท่านคิฏซฺในอัยน์ญาลูต และท่านมุฮัมมัด อัลฟาติหฺในคิสฏ็อนฏีนียะฮฺ ได้กระนั้นหรือ ?...”

ฉันกล่าวกับเขาว่า ... “โอ้เพื่อนรัก...ท่านอย่าได้หมดหวัง วัฏจักรที่อัลลอฮฺทรงสรรค์สร้างพระองค์จะทรงต่อท้ายค่ำคืนที่มืดมนด้วยกับรุ่งอรุณของยามฟ้าสาง และหลายโมงยามที่ความมืดสนิทมาปกคลุมนั้นมันเป็นแค่เพียงเวลาไม่กี่นาทีก่อนตะวันขึ้นของยามรุ่งอรุณ แต่ทว่าสำหรับอัลลอฮฺผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงสร้างทรงบริหารกฎแห่งจักรวาลนั้นหนักแน่นไม่สั่นคลอน วัฏจักรแห่งพระองค์มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นจำเป็นที่พวกเราต้องเอาใจใส่ต่อกฎนั้น และปฏิบัติต่อมันด้วยกับความรู้อย่างจริงจัง เคร่งครัดและมั่นใจ... ซึ่งฉันขอเน้นสองประเด็น ณ โอกาสนี้ นั่นคือ ...”

จิตวิญญาณของประชาชาติต่ออิสลาม

ประการแรก สำหรับประชาชาติต้องมีจิตวิญญาณที่กระตือรือร้นตื่นตัวเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยเริ่มในระดับปัจเจกชน หากวันใดประชาชาติไร้จิตวิญญาณ วันนั้นพวกเขาจะเป็นเสมือนคนที่ขาดความรู้สึก ขาดปฏิสัมพันธ์ หรือเป็นดั่งอาคารบ้านเรือนที่ไร้รากฐาน เช่นกัน หากคนใดไร้จิตวิญญาณเขาก็ไม่แตกต่างอะไรกับซากศพที่ไร้ชีวิต โอ้เพื่อนรัก...จงเชื่อฉัน ! แท้จริงประชาชาติที่กำลังมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยเราอาศัยอยู่ด้วยจิตวิญญาณแห่งความหลอกหลอน...หรืออาจจะเป็นได้ว่า พวกเขาต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อย่างไร้จิตวิญญาณ !

ท่านอาจจะถามฉันว่า “อะไรคือจิตวิญญาณแห่งประชาชาติของเรา ? และผู้ใดหรือที่ต้องการมีชีวิตอยู่อย่างไร้จิตวิญญาณ ?

ฉันจะบอกท่านอย่างเปิดเผยว่า...จิตวิญญาณแห่งประชาชาติของเรา คือ “อิสลาม” ซึ่งจะมาชุบชีวิตใหม่ให้กับสิ่งที่อันตรธานหายไปในเมื่อวันวาน จะมาสมานให้กับสิ่งที่แตกร้าว จะนำพาคบเพลิงมาสาดส่องทางที่มืดมนหลงผิด จะมาชี้แนะความรู้ในสิ่งที่สติปัญญาเข้าไม่ถึง จะมาช่วยจูงมือพยุงเดินออกไปจากโลกของความมืดบอดสู่แสงสว่างของโลกแห่งสัจธรรม และเป็นกระบวนการทั้งหมดที่จะนำไปสู่การเป็นประชาชาติตัวอย่างที่ดีเลิศที่สุด จากบรรดาประชาชาติที่ถูกอุบัติขึ้นบนผืนพิภพ

ปฐมบทแห่งอิสลามนั้น เริ่มจากกลุ่มคนที่กราบไหว้บูชารูปเจว็ด ผู้เลี้ยงแพะเลี้ยงแกะแห่งทะแลทราย ค่อย ๆ พัฒนาสู่การสร้างดุลยภาพให้แก่ประชาชาติเป็นทางนำให้หลุดพ้นจากความงมงาย ซึ่งได้แผ่กระจายครอบคลุมไปทั่ว จากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตก จากทิศเหนือจรดทิศใต้ มีคำสอนซึ่งเป็นธรรมนูญแห่งชีวิตจากอัลกุรอานและอัลหะดีษ นำความยุติธรรมและความเมตตาอาทรแผ่ไปทั่วทุกมุมโลก และสร้างภราดรภาพแก่มวลมนุษยชาติภายใต้ธงขององค์ความรู้และหลักการศรัทธา ช่วยมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากการกราบไหว้รูปเจว็ด สู่ การเคารพภักดีโดยสิโรราบต่ออัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียว และปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการเป็นอยู่อย่างคับแคบในดุนยา สู่อิสรภาพแห่งอณาจักรอันกว้างขวางของอัลลอฮฺ ซึ่งครอบคลุมเขตพื้นที่ของโลกนี้ถึงโลกหน้า และจากความอยุติธรรมของความเชื่อ หลักคำสอนในลัทธิ ศาสนาต่าง ๆ มาสู่ความยุติธรรมแห่งอิสลาม.

อิสลามคือวิถีที่หยัดยืนเคียงข้างประชาชาติมาโดยตลอด แม้ว่าจะอยู่ในยุคสมัยที่อ่อนแอหรือภาวะที่ป่วยไข้ ยืนเผชิญหน้าอย่างตระหง่านและมั่นคงทุก ๆ สมรภูมิ อิสลามรวมตัวเป็นปึกแผ่นในแถวเดียวกัน ประจันหน้าท้าทายกับมหาอำนาจอย่างตาตาร์(กองทัพมองโกล) ซึ่งได้ยาตราทัพมาจากซีกโลกตะวันออก และเผชิญหน้าอย่างสมภาคภูมิกับความน่าสะพึงกลัวของพลพรรคไม้กางแขนซึ่งได้ยาตราทัพมาจากซีกโลกตะวันตก และมันเป็นสิ่งที่แฝงตัวอยู่เบื้องหลังชัยชนะต่อกองทัพไม้กางแขนในสงครามหิฏฏีน ชัยชนะต่อพวกตาตาร์ในสงครามอัยนฺญาลูต จากประวัติศาสตร์อิสลามเป็นพลังเรียกร้องให้ตื่นตัวกลับคืนมา สามารถสร้างเอกภาพด้วยนามของอัลลอฮฺให้เป็นหนึ่งเดียว และรุ่งอรุณของพลังแห่งอีมานจะทอแสงประกายขึ้นมา ดังนั้นผู้ใดที่ต้องการให้ประชาชาตินี้มีชีวิตอยู่โดยปราศจากอิสลาม ก็เท่ากับว่าเขาผู้นั้นต้องการที่จะให้ประชาชาตินี้มีชีวิตอย่างไร้จิตวิญญาณ เสมือนกับฟองน้ำที่ล่องลอยไปเรื่อย ๆ ตามกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากโดยมิยังประโยชน์แต่ประการใด และเขาผู้นั้นก็คือศัตรูแห่งอิสลาม เขาผู้นั้นเป็นผู้ที่ขี้ขลาดหวั่นกลัว กระหายอำนาจบารมีและเกียรติยศแห่งดุนยา ทั้ง ๆ ที่การรวมตัวของพวกเขาที่เห็นนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความแตกแยก ละโมบ และหวาดหวั่น ถึงกระนั้น...แผนการของพวกเขาก็ล้วนแล้วแต่เป็นการจัดวางกลอุบายไว้อย่างแยบยล พวกเขาเหล่านั้นก็คือกลุ่มคนที่ไม่พ้นไปจากพวก ยิว คริสต์ คอมมิวนิสต์ และพลพรรคของฏอฆูตทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม...แผนการของพวกเขานั้นบางครั้งมองดูแล้วฉาบฉวยไร้ระบบแบบแผน แต่บางครั้งก็เป็นที่น่าภาคภูมิใจสำหรับพวกเขาเอง

ปัญหาบางประการของมุสลิม

ปัญหาหนึ่งจากหลาย ๆ ปัญหาของประชาชาตินี้ก็คือ พวกเขากำลังลุ่มหลงเพลิดเพลินอยู่กับการแสวงหาความสุขส่วนตัวเพื่อสนองอารมณ์ใฝ่ต่ำ หลงลืมต่อแก่นสารหรือสารัตถะของหลักการ ทั้ง ๆ ที่พวกเขามีชีวิตอย่างสูงค่าอยู่ได้ก็ด้วยกับหลักการคำสอนนี้ พวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ระหว่างมิตรกับศัตรู และพวกเขารู้ไม่เท่าทันแผนการอันแยบยลที่ศัตรูของพวกเขากำลังเดินหมากอยู่ในที่มืด และแฝงยาพาเอาไว้ในช็อคโกแล็ต ในขนมหวาน ศัตรูได้ใช้คมดาบฟาดฟันทำลายภาพอันสวยงามแห่งอิสลามทิ้ง ภายใต้สโลแกนหรือคำโฆษณาชวนเชื่ออันสวยหรู ป่าวประกาศการปฎิเสธศรัทธาว่าเป็นอิสรภาพ เสรีภาพ เรียกขานการกระทำที่ชั่วช้าสามานย์ ลามก อนาจารว่าศิลปะ บัญญัติศัพท์ของการผินหลังให้กับหลักการว่าคือ ความเจริญก้าวหน้า ขนานนามให้กับรอยฟกช้ำจากการทารุณกรรมอันไร้ซึ่งความยุติธรรมนั้นว่า เป็นดั่งเนื้อติดมันอันโอชะ และมองที่โล่งเตียนตามธรรมชาติซึ่งห่างไกลจากสายตาคิดว่าเป็นสระน้ำอันสวยหรู !

ปัญหาอีกอย่างที่เกิดขึ้นกับประชาชาติอิสลามก็คือ ช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างมุสลิมด้วยกัน ซึ่งเป็นรูโหว่ที่สามารถสัมผัสได้ นั่นคือการยึดติดกับกลุ่มหรือพวกพ้อง ชาตินิยม ภูมิภาคนิยม ภาษานิยม และปัญหาการยึดมั่นต่อมัซฮับต่าง ๆ โดยขาดความรู้ที่ครอบคลุม ซึ่งล้วนส่งผลต่อความแตกแยกทั้งสิ้น และในที่สุดก็ผลักดันให้มุสลิมบางส่วนหันเหออกจากแนวทางอันเที่ยงแท้ของพระผู้เป็นเจ้า

อีกประเด็นหนึ่งคือ ความเห็นแก่ประโยชน์ของผู้นำ ซึ่งมักยึดเอาอารมณ์ความรู้สึกมาอยู่เหนือสัจธรรม ขวนขวายแสวงหาผลประโยชน์แห่งดุนยาเนื่องการแสวงหาความพึงพอพระทัยจากอัลลอฮฺ มุ่งเน้นผลประโยชน์ส่วนตน หรือองค์กร จนกระทั่งเมินเฉยต่อประโยชน์ของประชาชาติอิสลามซึ่งสำคัญยิ่งกว่าหลายเท่านัก

และช่องว่างที่เราสามารถพบได้ในทุกประเทศ คือความรู้สึกที่แตกต่างกันระหว่างรัฐบาลกับประชาชน โดยธรรมชาติของประชาชนส่วนใหญ่ ประวัติศาสตร์และความเป็นจริงบอกเราว่าพวกเขาจะผูกพันและหวงแหนต่อหลักธรรมคำสอนแห่งอิสลามเสมอ ส่วนรัฐบาลนั้นเริ่มต้นบทบาทของการถูกอบรมสั่งสอนให้กอบโกยผลประโยชน์ การเป็นผู้นำต้องใช้ระบบทหาร ซึ่งนำหลักสูตรมาจากสมุนของฏอฆูต และมีแนวคิดที่ขัดแย้งต่อหลักคำสอนของอิสลาม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สึกสำนึกผิดแต่อย่างใด แม้ได้ทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักการที่ชอบธรรมก็ตาม

ความหวาดหวั่นของพวกเขาคือ หวั่นเกรงว่าหลักการอิสลามจะกลับมามีบทบาทอีกครั้ง และกลัวว่าหากนำหลักคำสอนแห่งอิสลามมาใช้ อิสลามก็จะกลับมาปกครองประเทศ ก็จะทำให้พวกเขาขาดอิสระในการที่จะกระทำการชั่วร้ายดังกล่าว เหตุผลนี้เอง เลยทำให้พวกเขามีแนวคิดอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ส่วนประชาชนก็อยู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งพวกเขาไม่กล้าที่จะลดความคิดของพวกเขามาผนวกกับประชาชนได้อย่างเด็ดขาด ทำให้ทั้งสองฝ่ายจึงกลายเป็นดั่งเส้นขนานที่ปลายขั้วทั้งสองไม่มีวันบรรจบพบกันได้เลย

ช่องโหว่อีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นระหว่ากลุ่มคนที่เรียกตนเองว่าหัวก้าวหน้า กับประชาชนธรรมดา ก็คือ โดยธรรมชาติแล้วสามัญชนคนทั่วไปจะมีความผูกพันกับหลักการ หวงแหนต่อบทบัญญัติ ใช้ชีวิตตามครรลองของอิสลาม แต่ส่วนมากของรัฐบาลใช้วิธีการนำสงครามจิตวิทยาหรือวิทยาการต่าง ๆ มาทำลายประชาชนให้ออกจากพื้นฐานเดิม ๆ โดยยึดนำสิ่งอื่นมาทดแทนด้วยกับความเข้าใจที่คาดเคลื่อนจากหลักการอิสลาม จากบัญญัติ ประวัติศาสตร์ และประชาชาติ ในที่สุดพวกเขาก็มั่นใจในระบบทุนนิยม (ลัทธิไร้ศาสนา) ทั้งในความคิด และกระบวนการดำเนินชีวิต หากพวกเขาจะเปิดโอกาสให้บ้างก็แต่เพียงมัสยิด สำหรับใช้เพื่อการละหมาดหรือใช้เพื่อการตักเตือนเท่านั้น หรือเพียงอนุญาตให้บรรจุเป็นคาบเรียนภาควิชาศาสนาในโรงเรียน หรือให้มีรายการศาสนาในวิทยุ โทรทัศน์ ให้มีคอลัมน์เพียงน้อยนิดในหนังสือพิมพ์ วารสาร สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นถือเป็นการแสดงความใจบุญ และการเสียสละอย่างเต็มที่ของพวกเขาแล้ว ! ส่วนใครผู้ใดจะยึดเอาอิสลามมาเป็นวิถีแห่งการดำเนินชีวิต หรือยึดมาเป็นธรรมนูญของการปกครองประเทศนั้นไม่ได้...ไม่ได้อย่างเด็ดขาด !

กฏเกณฑ์แห่งชัยชนะและการช่วยเหลือของอัลลอฮฺ

แท้จริงการช่วยเหลือจะไม่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ จะไม่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล และจะไม่เกิดขึ้นเหมือนกับการเอาไม้ตีอูฐ (ซึ่งหมายถึง...เกิดขึ้นโดยไร้เป้าหมาย...) สำหรับการช่วยเหลือนั้นเป็นกฎหรือวัฎจักรที่อัลลอฮฺได้บันทึกไว้แล้วในคำภีร์ของพระองค์ เพื่อชี้แนะแนวทางให้ปวงบ่าวผู้ศรัทธาได้รู้ และนำไปปฏิบัติบนพื้นฐานของความรู้นั้น

กฎข้อที่หนึ่ง
แท้จริงการช่วยเหลือนั้นมาจากอัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่ง ดังนั้นผู้ที่พระองค์ทรงช่วยเหลือเขาจะไม่มีวันพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด ถึงแม้ว่าผู้คนทั้งหลายจะรวมตัวกันผินหลัง ตีห่าง เกลียดชัง หรือทอดทิ้งเขา ส่วนผู้ที่อัลลอฮฺทอดทิ้งเขาเขาก็จะไม่ได้รับความช่วยเหลือ ไม่ได้รับความสำเร็จแต่ประการใด แม้ว่าเขาจะมีกำลังพลพร้อมยุทโธปกรณ์อันมากมายรวมถึงคนทั้งโลกจะช่วยเหลือสนับสนุนเขาก็ตาม

เหตุผลดังกล่าวอัลลอฮฺได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนในคัมภีร์ของพระองค์ โดยไม่มีเมฆหมอกสีเทามาบดบัง ชัดเจน ไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ "หากว่าอัลลอฮฺทรงช่วยเหลือพวกเจ้า ก็จะไม่มีผู้ใดชนะพวกเจ้าได้ และหากพระองค์ทรงทอดทิ้งพวกเจ้าแล้ว แล้วผู้ใดเล่าจะช่วยเหลือพวกเจ้าได้หลังจากพระองค์ และแด่อัลลอฮฺเท่านั้นที่ผู้ศรัทธาจงมอบหมาย" (อาละอิมรอน / 160)
"จงรำลึกขณะที่พวกเจ้าขอความช่วยเหลือยามขับขันต่อพระเจ้าของพวกเจ้า และอัลลอฮฺก็ได้ทรงรับสนองแก่พวกเจ้าว่า แท้จริงข้าจะช่วยเหลือพวกเจ้าด้วยมลาอิกะฮฺจำนวนพัน โดยทยอยกันลงมา และอัลลอฮฺนั้นมิได้ทรงให้มัน(หมายถึงการช่วยเหลือของมลาอิกะฮฺ)มีขึ้นนอกจากข่าวดี และเพื่อว่าหัวใจของพวกเจ้าจะได้สงบขึ้นด้วยกับสิ่งนั้น และไม่มีการช่วยเหลือนอกจากที่มาจากอัลลอฮฺเท่านั้น แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ" (อัล-อันฟาล /9-10)

บางครั้งอัลลอฮฺจะช่วยเหลือคนจำนวนน้อยให้มีชัยชนะเหลือผู้คนจำนวนมาก ดั่งที่พระองค์ทรงช่วยเหลือพรรคพวกฎอลูต (ที่มีจำนวนน้อย) ต่อพลพรรคของญาลูตที่มีจำนวนมาก ถึงแม้ว่าพลพรรคของฎอลูตจะหวั่นกลัวขณะที่เขาเห็นกำลังพลมหึมาพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพญาลูต

"วันนี้พวกเราไม่มีกำลังใด ๆ จะต่อสู้กับญาลูต (มนุษย์ทรงพลังซึ่งเป็นกษัตริย์และแม่ทัพ) และไพล่พลของพวกเขาได้ บรรดาผู้ที่เชื่อแน่ว่าพวกเขาจะพบกับอัลลอฮฺได้กล่าวว่า มีกี่มากน้อยแล้ว คนจำนวนน้อยเอาชนะคนจำนวนมากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺนั้นทรงอยู่พร้อมกับบรรดาผู้ที่มีความอดทนทั้งหลาย" (อัลบากอเราะฮฺ / 249)

บางครั้งพระองค์ทรงช่วยเหลือผู้ที่ไม่มีแม้กระทั่งทหารหรืออาวุธแต่ประการใด เสมือนกับที่พระองค์ได้ทรงช่วยเหลือท่านรอซูลุลลอฮฺดั่งเหตุการณ์ในถ้ำขณะที่ท่านอพยพไปมาดีนะฮฺ "ถ้าพวกเจ้าไม่ช่วยเหลือเขา(หมายถึงท่านรอซูล) แท้จริงอัลลอฮฺก็ไก้ทรงช่วยเหลือเขามาแล้ว ขณะที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา(พวกมุชริกีนมักกะฮฺ)ได้ขับไล่เขาออกไปโดยที่เขาเป็นคนที่สองในสองคน ขณะที่ทั้งสอง(ท่านรอซูลและท่านอบูบักร)อยู่ในถ้ำนั้น คือขณะที่เขา(ท่านรอซูล)ได้กล่าวแก่สหายของเขา(ท่านอบูบักร)ว่า ท่านอย่าได้เสียใจ แท้จริงอัลลอฮฺทรงอยู่กับเรา แล้วอัลลอฮฺก็ทรงประทานลงมาแก่เขาซึ่งความสงบใจจากพระองค์ และได้สนับสนุนเขาซึ่งบรรดาไพล่พลซึ่งพวกเจ้าไม่เคยเห็นพวกเขา และได้ทรงให้ถ้อยคำของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่ต่ำสุด และพจนารถของอัลลอฮฺนั้นคือพจนารถที่สูงสุด และอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ" (อัตเตาบะฮฺ / 40)

กฎข้อที่สอง
แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงช่วยเหลือนอกจากผู้ที่ช่วยเหลือพระองค์ ดังนั้นผู้ใดช่วยเหลือพระองค์ พระองค์ก็จะทรงช่วยเหลือเขา โดยกฎข้อนี้จะมาในสำนวนของเงื่อนไข และการตอบแทน "โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย หากพวกเจ้าสนับสนุน(ศาสนา)ของอัลลอฮฺ พระองค์ก็จะทรงสนับสนุนพวกเจ้า และจะทรงตรึงเท้าของพวกเจ้าให้มั่นคง" (มุฮัมมัด/7) และจะมาในรูป “เคาะบัร ษาบิต” (ประโยคบอกเล่า) เน้นด้วยอักษร ลาม กอซัม และ นูน เตากีต “และแน่นอนอัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือผู้ที่สนับสนุนศาสนาของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงเดชานุภาพยิ่ง” (อัลฮัจญ์ / 40)

แท้จริงการช่วยเหลืออัลลอฮฺจะบรรลุได้ก็ด้วยกับการช่วยเหลือศาสนาของพระองค์ เชิดชูคำดำรัสแห่งพระผู้สร้าง และด้วยกับการนำบัญญัติแห่งอิสลามมาเป็นกฎข้อตัดสินในหมู่มนุษยชาติ ดังกล่าวนี้ คุณลักษณะของผู้ที่ช่วยเหลืออัลลอฮฺจะต่อท้ายด้วยดำรัสของพระองค์ที่ว่า “บรรดาผู้ที่เราให้พวกเขามีอำนาจในแผ่นดิน คือบรรดาผู้ที่ดำรงการละหมาด และบริจาคซะกาต และกำชับกันให้กระทำความดี และห้ามปรามกันให้ละเว้นความชั่ว และบั้นปลายของกิจการทั้งหมายย่อมกลับไปหาอัลลอฮฺ” (อัลฮัจญ์/41)

และบางทีสำนวนของคัมภีร์อัลกุรอานจะบอกถึงการช่วยเหลือของอัลลอฮฺด้วยอีมาน หรือด้วยพลไพล่ของอัลลอฮฺ ดังนั้นผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺด้วยความสัจจริงแห่งอีมาน พระองค์อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือเขา หรือเป็นทหารที่ถูกส่งมาช่วยเหลือกองทัพของอัลลอฮฺ “และหน้าที่ของเราคือการช่วยเหลือผู้ที่ศรัทธา” (อัรรูม/47) “และแท้จริงไพล่พลของเรานั้น สำหรับพวกเขาจะเป็นผู้ที่มีชัยชนะ” (อัศศ็อฟฟาต/173)

กฎข้อที่สาม

การช่วยเหลือไม่เกิดขึ้นแก่ผู้ใดนอกจากแก่ผู้ที่ศรัทธา และเกิดขึ้นด้วยกับผู้ศรัทธาเท่านั้น ดังนั้นผู้ศรัทธาจึงเป็นเป้าหมายของการช่วยเหลือ พร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ จากเหตุผลดังกล่าวพระองค์ทรงมีดำรัสกับรอซูลของพระองค์ว่า “พระองค์คือผู้ทรงสนับสนุนเจ้าด้วยกับการช่วยเหลือของพระองค์ และด้วยผู้ศรัทธาทั้งหลาย และได้ทรงให้ความสนับสนุนเกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา” (อัล-อันฟาล 62-63)

บางครั้งอัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ โดยการส่งบรรดามลาอิกะฮฺจากฟากฟ้าลงมายังพิภพ ดังเหตุการณ์ในสงครามบะดัร สงครามค็อนดัก และสงครามหุนัยน์ “จงรำลึกขณะที่พระเจ้าของเจ้าประทานโองการแก่มลาอิกะฮฺว่า แท้จริงข้านั้นอยู่ร่วมกับพวกเจ้าด้วย” (อัลอันฟาล / 12) “ดังนั้นเราได้ส่งลมพายุพัดใส่พวกเขา และกำลังทหารที่พวกเจ้ามองไม่เห็น” (อัลอะห์ซาบ/9) “และแท้จริงอัลลอฮฺทรงประทานลงมาซึ่งความสงบใจจากพระองค์แก่รอซูลของพระองค์ และแก่บรรดาผู้ศรัทธาเหล่านั้น และได้ทรงให้ไพล่พลลงมาซึ่งพวกเจ้าไม่เห็นพวกเขาและได้ทรงลงโทษบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้น” (อัตเตาบะฮฺ / 26)

บางครั้งพระองค์อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ โดยให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางธรรมชาติมาช่วยเหลือหรือมาทำลายศัตรู ดั่งที่พระองค์ทรงส่งพายุมาพัดใส่พวกมุชริกีนในสงครามค็อนดัก “ดังนั้นเราได้ส่งลมพายุที่มีความหนาวเหน็บมายังพวกเขา” (ฟุตศิลัต/16) และเหตุการณ์ที่พระองค์ทรงประทานน้ำฝนแห่งความเมตตาให้แก่บรรดามุสลิมีนในสงครามบะดัร “และทรงประทานน้ำลงมาให้แก่สูเจ้าจากฟากฟ้า เพื่อทรงชำระพวกเจ้าด้วยน้ำนั้น และทรงให้ความโสมมของชัยฏอนหมดไปจากพวกเจ้า และเพื่อที่จะถูกหัวใจของพวกเจ้า และทรงตรึงเท้าให้มั่นคงด้วยน้ำนั้น” (อัลอันฟาล / 11 )

บางครั้งพระองค์อัลลอฮฺทรงช่วยเหลือผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ โดยให้เกิดขึ้นด้วยกับน้ำมือของศัตรู หรือเกิดขึ้นระหว่างศัตรูของอัลลอฮฺด้วยกันเอง ด้วยกับการโยนความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในจิตใจของพวกเขา เกิดความเสียหายที่สามารถสัมผัสได้ และฆ่าฟันกันเองระหว่างพวกเขา เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกยะฮูดีย์บะนีนะฎีร “พระองค์เป็นผู้ทรงให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในหมู่พวกอะฮฺลุลกิตาบออกจากบ้านเรือนของพวกเขาเป็นครั้งแรกของการถูกไล่ออกเป็นกลุ่ม ๆ พวกเจ้ามิได้คาดคิดกันเลยว่า พวกเขาจะออกไป(ในสภาพเช่นนั้น) และพวกเขาคิดว่า แท้จริงป้อมปราการของพวกเขานั้นจะป้องกันพวกเขาให้รอดพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้ แต่การลงโทษของอัลลอฮฺได้มีมายังพวกเขาโดยมิได้คาดคิดมาก่อนเลย และพระองค์ทรงทำให้ความหวาดกลัวเกิดขึ้นในจิตใจของพวกเขา โดยพวกเขาได้ทำลายบ้านเรือนของพวกเขาด้วยกับน้ำมือของพวกเขาเอง และด้วยน้ำมือของบรรดามุอ์มิน ดังนั้นพวกเจ้าจงยึดถือเป็นบทเรียนเถิด โอ้ผู้มีปัญญาทั้งหลาย” (อัลหัชรฺ/2)

แต่ทว่าเงือนไขกระบวนการช่วยเหลือทั้งหมดนั้นจะหยุดอยู่ที่การมี “ผู้ศรัทธา” ดั่งที่การลงมาของมลาอิกะฮฺในสงครามบะดัร ไม่ได้ลงมาอย่างโดดเดี่ยว แต่พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสกับพวกเขาว่า “แท้จริงข้านั้นอยู่ร่วมกับพวกเจ้า จงทำให้ผู้ศรัทธามั่นคงเถิด” (อัลอันฟาล/2)

และในสงครามอัลอะห์ซาบ อัลลอฮฺทรงส่งพายุและไพล่พลมา “บรรดาผู้ศรัทธาได้ถูกทดลองและพวกเขาได้ถูกทำให้เคลือนไหวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง” (อัลอะห์ซาบ/11)

ในสงครามหุนัยน์ “อัลลอฮฺทรงประทานลงมาซึ่งความสงบใจจากพระองค์ แก่รอซูลของพระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธาเหล่านั้น” (อัตเตาบะฮฺ / 26)

ในสงครามบะนีนะฏีร “โดยที่พวกเขาได้ทำลายบ้านเรือนของพวกเขาด้วยกับน้ำมือของพวกเขาเอง และด้วยกับน้ำมือของบรรดามุอ์มิน” (อัลหัชรฺ/2)

กำเนิดชนแห่งศรัทธา

เมื่อการช่วยเหลือจะไม่บังเกิดขึ้นนอกจากเพื่อผู้ศรัทธาและด้วยกับผู้ศรัทธา ดังนั้นบรรดาผู้ที่ศรัทธาจึงมิได้ถูกส่งลงมาจากฟากฟ้า แต่ทว่าพวกเขานั้นต่างงอกเงยขึ้นมาจากพื้นดิน

และพวกเขาต่างไม่ได้งอกเงยขึ้นมาจากพื้นดินโดยปราศจากเมล็ดพันธุ์ ไม่ได้เจริญเติบโตอย่างเคว้งคว้างปราศจากทิศทาง ไร้ซึ่งเป้าหมาย และไม่ได้ผลิดอกออกผลโดยผ่านการละเลยไม่ใส่ใจดูแล หากแต่ว่า พวกเขาเติบโตขึ้นมาด้วยการเอาใจใส่ชุบเลี้ยงบำรุงมาเป็นอย่างดี ทั้งนี้ในผู้ชุบเลี้ยงนั้นต้องเป็นผู้ชำนาญการ ดำรงอยู่ในหมู่ผู้สัตย์จริง และผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอดทน โดยที่เขาหมั่นเอาใจใส่ ดูแลรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย และสังเกตการณ์ต่อทุกช่วงของการเจริญเติบโต จนกระทั่งลำต้นโตพอที่จะสามารถยืนต้นได้ ผลิดอกออกผลและรับประทานได้ในที่สุดโดยการอนุมัติของพระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล

และมิน่าแปลกใจเลยที่อัลลอฮฺทรงฉายภาพชนแห่งอิสลามกลุ่มแรกจากบรรดาศอฮาบะฮฺของท่านรอซูลุลลอฮฺทั้งที่พระองค์ได้ดำรัสไว้ “และอุปมาของพวกเขาที่มีอยู่ในอัลอินญีลนั้นประหนึ่งเมล็ดพืชที่งอกหน่อ หรือกิ่งก้านของมันออกมา แล้วทำให้มันงอกงาม แล้วมันก็เติบโตแข็งแรง และทรงตัวอยู่ได้บนลำต้นของมัน นำความปลื้มปีติให้แก่ผู้หว่านปลูก เพื่อที่พระองค์จะก่อความโกรธแค้นพวกปฏิเสธศรัทธา” (อัลฟัตห์/29 )


เรื่องสำคัญที่ชนแห่งศรัทธาได้ให้ความใส่ใจอย่างที่สุด

เรื่องสำคัญที่สุดที่มีอยู่ในจิตสำนึกของพวกเขาคือ ประโยชน์สูงสุดต้องเกิดขึ้นกับประชาชาติอิสลาม พวกเขาเป็นผู้ที่สนใจจะสถาปนาประชาชาตินี้ให้เป็นชนมุสลิมรุ่นใหม่ มีพลังแห่งอีมานที่หนักแน่น มั่นคง เหมาะสมที่จะขนานนามพวกเขาว่า “ชนในยุคแห่งชัยชนะ” ซึ่งเป็นประการแรกสุดที่ประชาชาติของเราปรารถนา

กลุ่มชนที่หวนกลับคืนสู่แหล่งน้ำเลี้ยงอันพิสุทธิ์แห่งอิสลาม เข้าใจหลักการอย่างถูกต้องครอบคลุม ปราศจากสิ่งแปลกปลอมชั่วร้าย ไม่ใช่คำสอนที่ปนเปื้อนกับความเชื่ออื่นแล้วอ้างว่านั่นคือ “อิสลาม” ซึ่งหลักการเชื่อมั่นเปอะเปื้อนไปด้วยโคลนตมความบิดเบือน อิบาดะฮฺต่าง ๆ ที่พยายามประพฤติปฏิบัติอย่างคร่ำเคร่งต้องสูญเปล่าเพราะศาสนกิจที่อุตริกรรมขึ้นมา(บิดอะฮฺ)โดยไร้ซึ่งความรู้ ตัวตนแห่งความเป็นมุสลิมต้องล่มสลายไปด้วยกับการนำเอาจรรยามารยาทที่ส่อไปทางที่เสื่อมเสียมาประดับไว้แห่งกายตน ละเมิดบทบัญญัติด้วยกับความดื้อด้านส่วนตัว เลียนแบบประเพณีนิยม ยึดติดกับมัซฮับต่าง ๆ ที่ตนได้รับมาจากบรรพบุรุษโดยปราศจากความรู้ที่แท้จริง

“ชนในยุคแห่งชัยชนะ” คือผู้ที่ยึดมั่นอิสลามแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นครรลองเดียวที่ถูกรูปลักษณ์มาจากอัลกุรอาน เป็นอิสลามที่ท่านรอซูลุลลอฮฺเรียกร้อง และบรรดาศอฮาบะฮฺใช้ดำเนินชีวิต เป็นวิถีที่บรรดาคอลีฟะฮฺทั้งหลายเลือกตัดสินและปกครองรัฐ เป็นศาสนาที่ดำรงอยู่บนรากฐานอันสูงส่ง มั่นคงหนักแน่น สร้างปฏิสัมพันธ์จากผืนแผ่นดินสู่ฟากฟ้า นำศาสนามาเป็นวิถีในการขับเคลื่อนดุนยา และพร้อมรวบรวมระหว่างวิทยาการต่าง ๆ กับความเชื่อมั่นศรัทธาในบทบัญญัติอย่างแน่นแฟ้น โดยเชื่อว่า
อิสลาม...คือ สัจธรรม และพลังอันเข้มแข็ง
อิสลาม...คือ ความรู้ที่ถูกต้อง สามารถนำไปสู่การปฏิบัติในชีวิตจริงได้
อิสลาม...คือ การญิฮาด (ต่อสู้-เสียสละ) และทุ่มเทพยายาม
อิสลาม...คือ ศาสนาที่ครอบคลุม และมีดุลยภาพในตัวเอง

อิสลามถูกส่งมาเพื่อตอกย้ำเกียรติระดับปัจเจกชน และสร้างสัมพันธภาพระหว่างครอบครัว ช่วยเหลือค้ำจุนสังคม ปรึกษาหารือในการแก้ปัญหา ส่งเสริมพัฒนากลไกในการผลิต มีความยุติธรรมในการแจกจ่าย และคุ้มครองสิทธิในทุกส่วนของสังคม


อิสลามเป็นศาสนาซึ่งได้กำหนดให้วิถีชีวิตของปัจเจกชนทั้งชีวิตหมดไปเพื่ออัลลอฮฺไม่ผสมผสานกับสิ่งแปลกปลอมอื่น และไม่ขัดแย้งสวนทางกัน อิสลามมีเป้าหมายและกำหนดทิศทางที่ชัดเจน “จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า แท้จริง การละหมาดของฉัน การอิบาดะฮฺของฉัน การมีชีวิตอยู่ของฉัน และการตายของฉัน เพื่ออัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น” (อัลอันอาม/162) และเช่นกัน วิถีชีวิตในสังคมทุกการเคลื่อนไหวถูกดำเนินไปเพื่ออัลลอฮฺ และจะไม่ยอมรับแนวคิดการแยกส่วนระหว่างสองขั้วอำนาจ ไม่ได้จำแนกอาณาจักรออกจากศาสนจักร ทั้งสองสามารถรวมอยู่กันได้เพื่ออัลลอฮฺพระองค์เดียว


อิสลามเรียกร้องสู่ความยุติธรรม ถึงแม้ว่าผลประโยชน์จะตกอยู่กับศัตรู ฝ่ายตรงข้ามก็ตาม “และจงอย่าให้การเกลียดชังพวกหนึ่งพวกใดทำให้เจ้าไม่ยุติธรรม จงยุติธรรมเถิดมันเป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรงยิ่งกว่า และพึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด” (อัลมาอิดะฮฺ/8) และห้ามจากการเป็นศัตรู ถึงแม้ว่าจะโกรธแค้นมากมายสักปานใด “และจงอย่าให้การเกลียดชังพวกหนึ่งพวกใด(หมายถึงมุชริกมักกะฮฺ)ที่ขัดขวางพวกเจ้ามิให้เข้ามัสยิดหะรอม ทำให้พวกเจ้ากระทำการละเมิดและพวกเจ้าจงช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องคุณธรรม และความยำเกรง และจงอย่าสนับสนุนกันในสิ่งที่เป็นบาป และเป็นศัตรูกัน และพึงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด” (อัลมาอิดะฮฺ/2)

อิสลามได้ต่อต้านการกดขี่จากระบอบคอมมิวนิสต์ เหมือนที่ต่อต้านการเอารัดเอาเปรียบจากระบบทุนนิยม ปฏิเสธต่อการแบ่งชนชั้นวรรณะเสมือนที่ปฏิเสธต่อการอธรรมซึ่งกันและกันของแต่ละฝ่าย และเรียกร้องสู่การนำหลักธรรมคำสอนมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดซึ่งมันจะก่อให้เกิดสายใยแห่งความรัก ไม่ได้เรียกร้องสู่การแบ่งฝ่ายแบ่งพวก ซึ่งมันจะก่อให้เกิดความอิจฉาริษยาต่อกัน


อิสลามต่อต้านการอธรรมทั้งหลายของรัฐบาล หรือผู้ปกครองบ้านเมือง และปฏิเสธต่อคำพิพากษาที่อธรรมทั้งหลาย เป็นศาสนาที่จะบอกแก่ผู้พิพากษาว่า “อย่าได้ก่อการอธรรม” และจะบอกกับประชาชนว่า “อย่าได้หวาดกลัว” และสอนให้ศรัทธาชนพึมพำคำขอพรของพวกเขาว่า “โอ้อัลลอฮฺ เราขอขอบคุณต่อพระองค์ และเราไม่ได้ปฏิเสธต่อพระองค์ และเราขอปลดเปลื้องหลุดพ้นจากผู้ปฏิเสธต่อพระองค์” และเทิดเกียรติความยุติธรรมให้เป็นการญิฮาดระดับสูงสุด คือ การพูดความจริงต่อหน้าผู้ปกครองที่ข่มเหงรังแก.


อิสลามจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอ และจะเอาสิทธิของผู้ที่แข็งแรงมอบคืนให้แก่พวกเขา และจะต่อสู้กับผู้ที่ร่ำรวยหากเขาได้ปฏิเสธหน้าที่ที่เขาพึงมีต่ออัลลอฮฺ คือการที่เขาต้องบริจาคแก่กลุ่มชนผู้ยากขน ปลุกเร้าต่อบุตรหลานให้ลุกขึ้นต่อสู้ “...ในหนทางของอัลลอฮฺ ทั้ง ๆ ที่บรรดาผู้อ่อนแอไม่ว่าผู้ชายและผู้หญิง และเด็ก ๆ” (อัลนิซาอฺ/75)


นี่เป็นวิถีแห่งอิสลามที่เป็นความเข้าใจของชนยุคที่โลกกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอย เป็นระบอบที่พวกเขาศรัทธา เป็นศาสนาที่พวกเขาเรียกร้องเผยแผ่ ด้วยกับอิสลามที่ทำให้พวกเขามองเห็นเป้าหมาย มองเห็นหนทาง รู้จักตนเอง รู้จักพระเจ้า รู้จักศาสนา รู้จักดุนยา รู้จักมรดกของตน รู้จักยุคสมัย รู้จักมิตร รู้จักศัตรู รู้ว่าใครคือผู้จุดแสงสว่างนำทาง และใครที่จักนำให้หลงทาง และผู้ใดคือผู้ที่เบี่ยงเบนสายเชือกออกจากทางนำอันเที่ยงตรง

ชนแห่งศรัทธา ชาย และ หญิง

เป็นกลุ่มชนผู้น้อมรับอิสลามจากบรรดาชาย และ หญิง จากผู้ศรัทธาชายและหญิง และจากผู้สวามิภักดิ์ชายและหญิง ฉะนั้นผู้หญิงในทัศนะอิสลามคือพี่น้องของผู้ชาย เธอคือส่วนที่จะมาเติมเต็มในเพศชาย และเฉกเช่นเดียวกันเขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะมาเสริมสร้างความสมบูรณ์ในส่วนที่เธอขาดหายไป “โดยที่บางส่วนของพวกเจ้านั้นมาจากอีกบางส่วน” (อาละอิมรอน / 195)


ผู้หญิงคือหุ้นส่วนสำคัญของผู้ชาย นับตั้งแต่พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสแก่อาดัม “เจ้าและคู่ครองของเจ้าจงพำนักในสวนสวรรค์นั้นเถิด” (อัลบากอเราะฮฺ / 135) และเธอก็มีบทบัญญัติเดียวกับที่บังคับใช้ผู้ชาย ดั่งดำรัสของพระองค์แก่เขาทั้งสอง อาดัม และ เฮาวาอฺ “และเจ้าทั้งสองอย่าได้เข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้” (อัลบากอเราะฮฺ / 135 ) และเธอก็จะได้รับการตอบแทนต่อการงานที่เธอได้กระทำไว้เสมือนกับผู้ชาย “แท้จริงฉันจะไม่ให้การงานของผู้ทำงานคนหนึ่งคนใดจากหมู่พวกท่านสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม” (อาละอิมรอน / 195)


และสำหรับผู้หญิงนั้นมีส่วนร่วมอย่างโดดเด่นในการช่วยเหลือปกป้องอิสลาม และช่วยในการเผยแพร่เรียกร้อง ร่วมสถาปนาอิสลามขึ้นบนผืนพิภพ โดยที่อัลลอฮฺทรงส่งทางนำและศาสนาอันเที่ยงตรงมาพร้อมกับศาสนทูตของพระองค์

พวกเธอลืมประวัติศาสตร์จุดยืนของคอดีญะฮฺ บินตูคุวัยลิด ตอนรุ่งอรุณแห่งอิสลามไปแล้วหรือ? ลืมจุดยืนของสุมัยยะฮฺ ภรรยาของชะฮีดคนแรก ที่เธอต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อปกป้องอิสลามจนกระทั่งชีวิตต้องปลิดลง ไปแล้วหรือ ? ลืมจุดยืนของอัสมาอฺ เจ้าของโบว์สองเส้นในวันฮิจเราะฮฺ ลืมจุดยืนของอุมมูอิมาเราะฮฺ และ นาสีบะฮฺ ในสงครามอูหุด ลืมจุดยืนของอุมมูสะลีมในสงครามหุนัยน์ และลืมจุดยืนต่าง ๆ ของบรรดาอุมมุลมุมีนีนในสมัยที่ท่านรอซูลุลลอฮฺยังมีชีวิตอยู่ และหลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตไป พวกเธอได้ลืมมันไปหมดแล้วกระนั้นหรือ ?


หญิงผู้ศรัทธา คือมารดาผู้ที่ชุบเลี้ยงให้ลูก ๆ ของเธอแสวงหาความโปรดปรานในหนทางของอัลลอฮฺ เธอคือภรรยา ผู้ที่คอยผลักดันให้สามีของเธอมีความทุ่มเทเสียสละเพื่อศาสนาของพระองค์ ส่วนตัวเธอเอง เธอต้องเป็นมุมีนะฮฺ ใช้เวลาในชีวิตเธอโดยการพยายามทุ่มเทให้หมดไปในหนทางของอัลลอฮฺ นักวิชาการหญิง (อาลิมะฮฺ) เป็นผู้ท่องจำอัลกุรอาน เป็นผู้รายงานหะดีษ ทำความเข้าใจในเรื่องศาสนา เผยแผ่ศาสตร์ต่าง ๆ ด้วยความรู้ที่แท้จริง สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้คนกระทำความดี และห้ามปรามต่อต้านผู้คนให้ละทิ้งความชั่ว มีความกล้าที่จะตักเตือนเมื่อเห็นผู้กระทำผิด เธอคือส่วนหนึ่งของอวัยวะที่มีลมหายใจ โดยฝังอยู่ในเรือนร่างของสังคม ดังที่อัลลอฮฺได้บอกถึงลักษณะไว้ ความว่า “และบรรดาผู้ศรัทธาชาย บรรดาผู้ศรัทธาหญิงนั้น บางส่วนของพวกเขาต่างเป็นผู้ช่วยเหลืออีกบางส่วน ซึ่งพวกเขาจะให้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ดีงาม และห้ามปรามในสิ่งที่ชั่วร้าย และพวกเขาจะดำรงไว้ซึ่งการละหมาดและจ่ายซะกาต และภักดีต่ออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ ชนกลุ่มนี้แหละอัลลอฮฺจะทรงเอ็นดูเมตตาพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ” (อัตเตาบะฮฺ / 75)


ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย...วันนี้ของพวกเธอจะเป็นดั่งวันวานอันรุ่งโรจน์ของประวัติศาสตร์ สวมบทบาทในการดะวะฮฺอิสลาม ร่วมเคลื่อนไหวในการฟื้นฟูซักฟอกตนเอง เป็นนักเผยแผ่ในกลุ่มเพศเดียวกัน พวกเธอคือครึ่งหนึ่งของสังคม หรืออาจมากกว่าครึ่ง ที่เป็นผู้คอยช่วยเหลือสนับสนุนสามีในการทำงานดะวะฮฺและเป็นผู้ชุบเลี้ยง ปลุกปั้นบรรดาเด็ก ๆ ของเราให้เติบโตอยู่ในครรลองของอิสลามเพื่อพวกเขาจะได้เป็นผู้ตราร่างสร้างความดีงามให้ปรากฏขึ้นบนหน้าแผ่นดินนี้.

คุณลักษณะของชนกลุ่มนี้ที่ปรากฏอยู่ในอัลกุรอานและซุนนะฮฺ

คุณลักษณะของชนกลุ่มนี้จะไม่ถูกปกปิดหรือซ่อนเร้นแก่ผู้ที่อ่านอัลกุรอานและศึกษาอัลหะดีษแต่อย่างใด ผู้ใดที่อ่านคัมภีร์ของอัลลอฮฺ ก็จะพบกับพวกเขาได้ในหลาย ๆ ซูเราะฮฺ หรือ หลาย ๆ อายะฮฺ จะพบพวกเขาในซูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ ขณะที่อ่านคำดำรัสของพระองค์ ความว่า “และส่วนหนึ่งจากผู้ที่เราบังเกิดขึ้นนั้น ซึ่งพวกเขาแนะนำด้วยความจริง และด้วยความจริงนั้นพวกเขาปฏิบัติโดยเที่ยงธรรม” (อัลอะอฺรอฟ / 181) ดังนั้นสัจธรรม คือ เป้าหมายของพวกเขา สัจธรรม คือ แนวทาง สัจธรรม คือ ที่ที่พวกเขาจะต้องกลับไปสู่ และเป็นสิ่งที่พวกเขาเรียกร้อง โดยมีแสงทองแห่งสัจธรรมเป็นทางนำ ด้วยกับบทบัญญัติแห่งความสัตย์จริง คือ สิ่งที่พวกเขาจะนำมาสถาปนาความยุติธรรมขึ้น.


ในเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ อัลลอฮฺได้แจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธา พร้อมได้เตือนสำทับให้พวกเขาได้ระวังต่อบรรดาผู้ที่อยู่นอกศาสนา เพื่อพระองค์ได้ตระเตรียมพวกเขาไว้เพื่อเผชิญหน้ากับพวกนอกศาสนาในยุคที่โลกใกล้ถึงคราวอวสาน เพื่อให้พวกเขาได้ยืนหยัดหนักแน่นอยู่ในศาสนาของพระองค์ “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ผู้ใดในหมู่ของพวกเจ้าออกจากศาสนาของพวกเขา อัลลอฮฺจะทรงนำมาซึ่งพวกหนึ่งซึ่งอัลลอฮฺทรงรักพวกเขา และพวกเขาก็รักพระองค์ เป็นผู้นอบน้อมถ่อมตนต่อบรรดามุมิน ไว้เกียรติแก่บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา และเขาจะเสียสละและต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ และไม่กลัวของตำหนิของบรรดาผู้ที่ตำหนิ และเขาจะเสียสละและต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ และไม่กลัวการตำหนิของบรรดาผู้ที่ตำหนิ ดังกล่าวคือความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ซึ่งพระองค์จะทรงประทานมันให้แก่บรรดาผู้ที่พระองค์ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงกว้างขวาง รอบรู้” (อัลมาอิดะฮฺ / 45) นี่คือคุณลักษณะอันโดดเด่นของพวกเขา พวกเขาจะอยู่ร่วมกับอัลลอฮฺด้วยความรักอันพิสุทธิ์ จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่ศรัทธาด้วยกับความนอบน้อมถ่อมตน และจะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ปฏิเสธด้วยกับความเข้มแข็งและมีเกียรติ จะยืนอยู่บนสัจธรรมด้วยการญิฮาด (ต่อสู้) โดยปราศจากเป้าหมายอื่นใดนอกจากการเสียสละเพื่อหนทางของอัลลอฮฺ และอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกับการบอกกล่าวตักเตือนด้วยความห่วงใย หวังดี โดยไม่เกรงกลัวผู้ใด หากเขาได้ตักเตือนในเรื่องของอัลลอฮฺ.

ในซูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ ได้บอกล่าวถึงกลุ่มชนอีกกลุ่มชนหนึ่ง คือบรรดามุนาฟิก ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างจากพวกเขา “บางส่วนของพวกเขาต่างมาจากอีกบางส่วน ซึ่งพวกเขาใช้ให้กระทำในสิ่งที่ไม่ชอบธรรม และห้ามปรามในสิ่งที่ชอบธรรม และกำมือของพวกเขาไว้” (อัตเตาบะฮฺ / 67) ส่วนลักษณะเด่นของพวกเขา เป็นผู้ที่ทุ่มเทเสียสละในหนทางของอัลลอฮฺ ดังที่พระองค์ได้บอกถึงคุณลักษณะของพวกเขาไว้ “และบรรดาผู้ศรัทธาชาย บรรดาผู้ศรัทธาหญิงนั้น บางส่วนของพวกเขาต่างเป็นผู้ช่วยเหลืออีกบางส่วน ซึ่งพวกเขาจะให้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ดีงาม และห้ามปรามในสิ่งที่ชั่วร้าย และพวกเขาจะดำรงไว้ซึ่งการละหมาดและการจ่ายซะกาต และภักดีต่ออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ ชนกลุ่มนี้แหละอัลลอฮฺจะทรงเอ็นดูเมตตาพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเดชานุภาพผู้ทรงปรีชาญาณ” (อัตเตาบะฮฺ/75)

เราจะพบพานพวกเขาในตอนต้น ๆของซูเราะฮฺอัลบากอเราะฮฺ โดยที่พระองค์ได้ทรงกล่าวถึงคุณลักษณะของกลุ่มชนผู้ศรัทธา ผู้ที่ได้รับทางนำด้วยกับคัมภีร์แห่งพระผู้เป็นเจ้า และในตอนกลางของซูเราะฮฺพระองค์จะบอกกล่าวถึงกลุ่มชนแห่งคุณธรรมอย่างแท้จริงไว้ “ชนเหล่านี้แหละคือผู้พูดจริง และชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่มีความยำเกรง” (อัลบากอเราะฮฺ/177) และเช่นกัน ตอนต้นของซูเราะฮฺอัลมุมินูน พระองค์ได้รับรองไว้ว่าพวกเขาจะได้เป็นทายาทแห่งฟิรดาวส์(สวรรค์ชั้นบรมสุข) ในตอนท้ายของซูเราะฮฺอัลฟุรกอนซึ่งเป็นการชี้แจงถึงลักษณะของ “ปวงบ่าวแห่งพระผู้ทรงเมตตา” ในซูเราะฮฺอัรเราะดุ อัลลอฮฺได้บอกถึงลักษณะเด่นของพวกเขาคือเป็นชนผู้ใช้สติปัญญาใคร่ครวญ ในตอนท้ายของซูเราะฮฺอัลหุญุรอต โดยที่พระองค์ได้ลงบัญญัติมาเพื่อโต้ตอบอาหรับชนบทที่เคลือบแคลงสงสัยในเรื่องของการศรัทธา และกล่าวอ้างโดยไม่ปฏิบัติ “แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธานั้น คือบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ แล้วพวกเขาไม่สงสัยเคลือบแคลงใจ แต่พวกเขาเสียสละต่อสู้ด้วยทรัพย์สมบัติของพวกเขา และชีวิตของพวกเขาไปในหนทางของอัลลอฮฺ ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่สัตย์จริง” (อัลหุญูรอต/15)

และหากใครเปิดอัลกุรอาน แล้วอ่านซูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ จะปรากฏคุณลักษณะอันโดดเด่นของพวกเขาโดยจะพบความสูงส่งของพวกเขาในหนังสือ “มะดาริญุสสาลิกีนฯ” สู่คำดำรัสแห่งอัลลอฮฺที่ว่า “เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราภักดี และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ” (อัลฟาติหะฮฺ/5) พวกเขาคือชาวเตาฮีตอย่างแท้จริง เป็นกลุ่มชนที่เคารพภักดีต่ออัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียว ขอความช่วยเหลือต่อพระองค์เท่านั้น ไม่เคารพภักดีต่อสิ่งอื่นใด และไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร เขามอบหมายความหวัง ความฝันทั้งชีวิตของพวกเขาไว้ ณ พระองค์ และยังพระองค์คือที่ที่เขากลับไป.

สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือ การมุ่งกลับไปหาพระองค์ พวกเขาจะวอนขอต่อพระองค์อัลลอฮฺเท่านั้น เส้นทางของพวกเขาคือเส้นทางอันเที่ยงธรรมแห่งพระผู้สร้าง เป็นเส้นทางซึ่งพระองค์ทรงคัดสรรเป้นของกำนัลให้แก่บรรดานบี ผู้สัตย์จริง ผู้ที่เสียสละในหนทางของอัลลอฮฺ และบรรดาคนดีทั้งหลาย ห่างไกลออกจากหนทางของผู้ที่ถูกกริ้ว และหนทางของผู้ที่หลงผิด – ผู้ที่ถูกกริ้วคือ ยิว และผู้ที่หลงผิด คือ คริสเตียน เส้นทางของพวกเขาคือเส้นทางที่เลอเลิศกว่าเส้นทางของทั้งสองกลุ่มนี้อย่างเปรียบมิได้.

ผู้ใดได้ศึกษาหาความรู้ ค้นคว้าซุนนะฮฺ และอ่านหะดีษอัชชารีฟ จะพบพวกเขาด้วยกับดวงตาแห่งหัวใจ มองเห็นอย่างชัดเจน ไร้ความมืดมน รู้จักพวกเขาอย่างละเอียดยิ่ง เสมือนท่านบีเห็นพวกเขาอยู่เบื้องหลังความเร้นลับ และท่านได้พูดถึงพวกเขาและวางพวกเขาไว้เบื้องหลังเพื่อเป็นตัวอย่าง และได้แจ้งข่าวดีแก่พวกเขาไว้อย่างชัดเจน พวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ได้รับความสำเร็จ ซึ่งอยู่ท่ามกลางความล่มสลายของ 72 จำพวก และไม่คล้อยตามอารมณ์ใฝ่ต่ำเหมือนสุนัขที่เดินตามก้นของเจ้าของ และพวกเขาจะไม่หันเหออกจากศาสนา เหมือนที่ลูกศรหลุดออกจากรังธนู แต่ทว่าพวกเขายึดมั่นเหมือนกับท่านรอซูลุลลอฮฺและบรรดาสาวกของท่าน.

จะพบได้ว่ากลุ่มของพวกเขาเป็น “กลุ่มชนผู้ที่มีความยุติธรรม” พวกเขาเป็นบรรดาผู้ที่แบกรับมรดกแห่งท่านนบี เป็นนักเผยแผ่ที่ตะโกนเสียงเรียกร้อง พวกเขาเป็นผู้ที่รักษาอามานะฮฺไม่ใช่เป็นเหมือนบรรดา “ผู้ที่ได้รับคัมภีร์เตารอต และพวกเขามิได้ปฏิบัติตามที่พวกเขาได้รับมอบประดุจดั่งลาที่แบกหนังสือจำนวนหนึ่ง(ไว้บนหลังของมัน)” (อัลญุมุอะฮฺ/5) และไม่เป็นเหมือนที่พระองค์ทรงประทานโองการต่าง ๆ ให้แก่พวกเขาแล้วพวกเขาได้ถอนตัวออกจากโองการเหล่านั้น ดังอายะฮฺที่ 175 ซูเราะฮฺอัลอะอฺรอฟ พวกเขายังคงดำรงอยู่บนกระแสธารของมรดกดั้งเดิมอันบริสุทธิ์อย่างมีดุลยภาพ และครอบคลุม และพวกเขาจะปฏิเสธการบิดเบือนอย่างเลยเถิด การดัดแปลงที่เป็นโมฆะ และการตีความของพวกงมงาย.

จะพบได้ในกลุ่มของพวกเขานั้นเป็นพี่น้องของท่านรอซูลุลลอฮฺในโลกของอาคิเราะฮฺ ซึ่งศอฮาบะฮฺของพวกเขาในยุคแรกกำลังถามถึงตั้งหน้าตั้งตารอพวกเขาอยู่ มีความหวังที่จะเห็นพวกเขาตั้งแต่พวกเขายังไม่อุบัติขึ้น ดังหะดีษ ท่านรอซูลได้
กล่าวว่า “ฉันรักที่จะเห็นพี่น้องของฉัน...” บรรดาศอฮาบะฮฺกล่าวว่า “แล้วพวกเราไม่ใช่พี่น้องของท่าหรือ โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ ?” ท่านรอซูลตอบว่า “พวกท่านคือสาวกของฉัน ส่วนพี่น้องของฉันคือ กลุ่มชนที่มาหลังจากนี้”

จะพบได้ว่า กลุ่มของพวกเขาเป็น “คนแปลกหน้า” คือบรรดาผู้ที่รักที่จะทุ่มเทลงบนวิถีของบรรดานบี และเป็นผู้ที่มาแก้ไขความเสื่อมเสียที่ก่อตัวอยู่บนผืนพิภพ ดังนั้น “ฏูบา” จะเป็นรางวัลสำหรับพวกเขา จะพบได้ว่ากลุ่มชนของพวกเขาเป็น “กลุ่มผู้มีอีมานศรัทธาอย่างน่าฉงนใจ” เป็นบรรดาผู้ที่ศรัทธามั่นต่อรอซูลของพระองค์ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่เคยเห็นท่าน ศรัทธามั่นต่อคัมภีร์อัลกุรอานและปฏิบัติตามโดยนอบน้อม จะพบได้ว่ากลุ่มชนของพวกเขาเป็น “ผู้ยึดมั่นเคร่งครัดต่อศาสนาของพวกเขา” ในค่ำคืนแห่งความโหดร้าย (ฟิตนะฮฺ) – ยืนหยัดอย่างไม่สะทกสะท้านท่ามกลางกลุ่มชนผู้หลงผิด ถึงแม้ว่าพวกเขาเป็นดั่ง “ผู้ที่กำเถ้าถ่านไว้ในมือ” เป็นผู้นำครรลองอิสลามมาปฏิบัติในคืนวันที่ต้องใช้ความอดทนอย่างสูง แม้นจะมีผู้มาขวางกั้นหรือมายุแหย่ แต่มิได้เป็นอุปสรรคแก่พวกเขาแต่ประการใด เพราะการยืนหยัดของพวกเขามีภาคผลบุญเท่ากับการยืนหยัดของ 50 ศอฮาบะฮฺ จะพบว่ากลุ่มของพวกเขา เป็น “กลุ่มชนที่ดำรงไว้ซึ่งสัจธรรม” ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางความหลงผิด เป็นผู้เรียกร้องกลุ่มชนที่หลงผิดสู่การปฏิบัติตามครรลองอิสลาม เดินสายกลางระหว่างความเลยเถิดกับความหย่อนยาน เป็นผู้เดินตามเส้นทางอันเที่ยงธรรม รอดพ้นจากกลุ่มที่ถูกกริ้วและพวกที่หลงผิด จะพบได้ว่ากลุ่มของพวกเขาเป็น “กลุ่มชนที่ได้รับชัยชนะ” ซึ่งจะช่วยกันปลดปล่อยปาเลสไตน์ด้วยกับน้ำมือของพวกเขา โดยการส่งมอบความปราชัยให้แก่ยะฮูดีย์ และจัดระเบียบให้กับพี่น้องมุสลิมทั้งผองได้อยู่ในแถวเดียวกัน จนกระทั่งต้นไม้ ก้อนกิน จะคอยช่วยเหลือพวกเขา โดยมิต้องใช้คำพูด หรืออาจจะพูดขึ้นด้วยลิ้น โดยกล่าวว่า “โอ้มุสลิม...โอ้บ่าวของอัลลอฮฺ นี่ยะฮูดีย์ซ่อนอยู่ข้างหลังฉัน มาเถิด...จงมาฆ่าพวกเขาเสีย” (หะดีษบุคอรี – มุสลิม”

กลุ่มชนที่เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน และวิชาการอยางลึกซึ้ง

กลุ่มชนที่ก้าวผ่านปัญหาอุปสรรค และปฏิเสธเรื่องไร้สาระ แก้ไขปัญหาด้วยสถานการณ์จริง ไม่ใช่ด้วยกับการคาดคะเน และต้องไม่ลืมว่าเขากำลังมุ่งหน้าสู่ฟากฟ้าในขณะที่กำลังยืนสง่าอยู่บนแผ่นดิน ดั้งนั้นเขาจะไม่ทิ้งให้สิ่งที่อยู่เบื้องหลังตกอยู่บนความเพ้อฝัน โกหก หรือมโนภาพถึงสิ่งที่มิอาจเป็นไปได้ หรือหวังลม ๆ แล้ง ๆ จนกระทั้งคิดไปถึงการที่จะว่ายน้ำบนบก คิดจะบินโดยที่ไม่มีปีก เขาจะไม่หว่านเมล็ดพืชลงไปในท้องทะเล ไม่เพาะปลูกเมล็ดพันธุ์บนโขดหิน ไม่ทอผ้าด้วยกับการนั่งจินตนาการ และไม่สร้างวิมานในหมอกเมฆ.

กลุ่มชนที่ตั้งความหวังไว้อย่างยาวไกล และไม่ลืมคำนึงสถานการณ์จริง เขาต้องการที่จะมุ่งสู่ชายฝั่งทะเลแห่งความฝัน แต่ต้องระมัดระวังต่อกระแสคลื่นลม และความรุนแรงของพายุที่โหมกระหน่ำ เขาต้องเข้าใจและตระหนักว่า เวลาคือหัวใจของการขับเคลื่อน ดุนยาเป็นสิ่งไม่แน่นอน ส่วนวันคืนที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปนั้นไม่มั่นคง และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกอดรัดความสุขสบายไว้ให้อยู่ในอ้อมแขนตลอดไป “และบรรดาวันเหล่านั้นเราได้ให้มันหมุนเวียนเปลี่ยนไประหว่างมนุษย์” (อาละอิมรอน / 140)

เขาจะไม่หมดอาลัยต่ออัลลอฮฺ ไม่สิ้นหวังต่อความเมตตาของพระองค์ แต่เขากลับเป็นผู้ที่รู้ถึงขอบเขตความสามารถของตนเอง รู้ถึงบริบทของความน่าจะเป็น เขาจะไม่มุ่งหวังผลลัพธ์อันมหาศาลก่อนที่จะลงมือกระทำ ไม่รีบเร่งร้อนใจในการกระทำกิจการต่าง ๆ ไม่ผูกมัดตัวเองในสิ่งที่ไม่มีความสามารถ เขาจะไม่เอาศีรษะมุดเข้าไปในรู จนกว่าเขาจะรู้ทางออกที่ดีเสียก่อน ดั่งกวีอาหรับได้กล่าวว่า “ผู้ที่มีความระมัดระวัง เขายอมตายหากต้องให้เขาเข้าใกล้กุหลาบที่เขายังไม่ได้รู้จักหนามคมของมันเสียก่อน”

กลุ่มชนผู้เข้าใจกฎของอัลลอฮฺในการสร้างสรรค์โลกได้อย่างลึกซึ้งเสมือนที่เขาปฏิบัติต่อบัญญัติอย่างเคร่งครัด เขาจะสถาปนาหลักการบริหารอย่างช้า ๆ เป็นระบบ อดทนรอต่อผลลัพธ์อันหอมหวาน เขาจะรอคอยการเจริญเติบโตจากเมล็ดพันธุ์จนกระทั่งงอกเงยเป็นต้นกล้า รดน้ำพรวนดินจนงอกงามแตกกิ่งก้านสาขา ชุบเลี้ยงจนกระทั่งแตกยอดหน่อ ผลิดอกออกผลรอวันเชยชมรับประทานได้ในที่สุดด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺ

กลุ่มชนที่มีความลึกซึ้งทางวิชาการ ใจกว้างและยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ยอมจำนนต่อหลักการและเหตุผล ปฏิเสธต่อสิ่งแปลกปลอมบิดเบือน ไม่กระทำในสิ่งที่ไม่มั่นใจ และไม่กระทำตามอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวของตนเอง ศึกษาเรียนรู้จากอัลกุรอานและซุนนะฮฺ การใช้สติปัญญาใคร่ครวญเป็นฟัรฎู การพิเคราะห์สังเกตเป็นอิบาดะฮฺ การศึกษาหาความรู้เป็นการญิฮาด การยึดตามบรรพบุรุษอย่างงมงาย คร่ำครึ เป็นสิ่งที่โง่เขลาหลงผิด ดังนั้นเขาต้องวิเคราะห์ต่อทุกสิ่งที่พบเจอการจะตัดสินใจ ศึกษาค้นคว้าก่อนลงมือปฏิบัติ ต้องหาหลักฐานประกอบก่อนที่จะเชื่อมั่น ต้องวางแผนก่อนลงมือทำ ไม่ยอมรับคำตัดสินโดยที่ไม่มีความกระจ่างชัด เพราะดำรัสแห่งผู้สร้างทางวางอยู่ต่อหน้าต่อตาทั้งสองของเขา “พวกท่านจงแจ้งให้ฉันทราบด้วยความรู้อันใดอันหนึ่ง หากพวกท่านเป็นผู้พูดจริง” (อัลฮาม / 143) และดำรัสของพระองค์ “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า ณ ที่พวกท่านนั้นมีความรู้อันใดหรือ ฉะนั้นพวกท่านจะต้องนำมันออกมาให้เรา” (อัลอาม / 148) และอีกดำรัสของพระองค์ “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า พวกท่านจงนำหลักฐานของพวกท่านมา หากพวกท่านเป็นสัตย์จริง” (อัลบากอเราะฮฺ / 111)

กลุ่มชนนักปฏิบัติและสร้างทีมงาน

กลุ่มชนที่ลูกหลานของเขาไม่ได้หยุดอยู่เพียงการพรรณนาถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตกาล หรือไม่ได้จมปลักอยู่กับความโศกเศร้าเสียใจต่อความพ่ายแพ้ตกต่ำที่กำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน และไม่ได้นั่งรอความหวังต่อชัยชนะที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ทว่าเป็นกลุ่มชนที่เข้าร่วมขบวนการฟื้นฟูด้วยความทุ่มเทเสียสละไม่ใช่ด้วยการอวดดีดูถูก เข้าร่วมปฏิบัติไม่ใช่เพียงแค่ด้วยการพูดโว แท้จริงวีรบุรุษคือผู้กล่าวว่า “นี่คือผลงานของฉัน” ไม่ใช่ได้แค่เพียงกล่าว “นี่เป็นผลงานของพ่อฉัน” ที่มาของชัยชนะ เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวของวันนี้ แต่งแต้มเติมเต็มความฝันของวันพรุ่ง และจะบรรลุความสำเร็จได้ด้วยการมุ่งมั่นพยายาม ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยวิธีการที่ไร้สาระตลกโปกฮา เกิดขึ้นด้วยกับการสร้างสรรค์ไม่ใช่ทำลาย กระทำด้วยความสงบนิ่งมิใช่เที่ยวแหกปากตะโกนร้อง อีมานที่แท้จริงนั้นจะฝังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ และจำแสดงออกซึ่งความเชื่อมั่นด้วยการกระทำ อัลลอฮฺมิได้บันดาลมวลมนุษย์มาเพื่ออื่นใดยอกจากเพื่อให้มาปฏิบัติงาน ยิ่งกว่านั้น มิได้กำหนดพวกเขามานอกจาก “เพื่อเราจะทดสอบพวกเขาว่า ผู้ใดในหมู่พวกเขามีผลงานที่ดีเยี่ยม” (อัลกะฮฺฟี / 7) จากเหตุผลดังกล่าวจึงนับได้ว่า การปฏิบัติงานจึงเป็นฟัรฏู การปฏิบัติคุณงามความดีคืออิบาดะฮฺ และการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันเป็นการญิฮาด พวกเขามั่นใจว่าผลบุญจากการประกอบคุณงามความดีจะไม่สูญหายและไม่ถูกอธรรมแม้สักเพียงเล็กน้อยเท่าผงธุลี และแน่นอนอัลลอฮฺจะให้รอซูลและผู้ที่ศรัทธาเห็นการงานของพวกเขา.

กลุ่มชนที่มีความเชื่อมั่นต่อการปฏิบัติงานแบบระบบญามาอะฮฺสำหรับปกปักษ์สาส์นแห่งอิสลาม และร่วมทวงความยิ่งใหญ่แห่งอิสลามคืนมา จึงเป็นหน้าที่และความจำเป็น ภารกิจในการทำงานระบบญามาอะฮฺนับเป็นพื้นฐานสำคัญ เป็นกฎข้อบังคับของศาสนา และความจำเป็นของระบบนี้คือต้องวางอยู่บนพื้นฐานของสถานการณ์ฯในปัจจุบัน การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในระดับปัจเจกชน ถึงแม้ว่าเป็นพื้นฐานสำคัญ แต่ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จได้นอกจากต้องดำเนินไปภายใต้อ้อมกอดของระบบญามาอะฮฺ

พวกเขาจะศึกษาหาความรู้จากคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้าโดยพระองค์ทรงสนทนา / โดยตอบโต้กับพวกเขาด้วยกับสำนวนที่เป็นหมู่คณะ (ญามาอะฮฺ) “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย” จนกระทั่งพวกเขาเกิดความรู้สึกว่า พวกเขาเยมอภาคกันในการตอบสนองคำสั่งใช้ของอัลลอฮฺ และหยุดกระทำจากสิ่งต้องห้าม เช่นกัน พวกเขาศึกษาได้จากคัมภีร์ของพวกเขาว่าต้องกระซิบกระซาบอย่างใกล้ชิดขณะที่พวกเขาอ่านซูเราะฮฺ อัลฟาติหะฮฺในทุกครั้งที่ละหมาดด้วยกับสำนวนเป็นหมู่คณะ “เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราเคารพภักดีและเฉพาพระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ ขอพระองค์ทรงแนะนำแก่พวกเราซึ่งแนวทางอันเที่ยงตรง” (อัลฟาติหะฮฺ / 5-6) เขากล่าวในนามหมู่คณะ ถึงแม้ว่าเขาอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ในส่วนลึกของเขายังคงดำเนินไปภายใต้ระบบญะมาอะฮฺ โดยที่เขากล่าวออกมาจากปลายลิ้น ทำให้ตนเองถูกหลอมรวมไปในหนทางแห่งประชาชาติ โดยที่เขาซ่อนเร้นคำว่า “ฉัน” เพื่อใช้คำว่า “พวกเรา” ให้ปรากฏเด่นชัดขึ้นมาแทนที่

และพวกเขาศึกษาเรียนรู้จากคัมภีร์แห่งพระผู้อภิบาลถึงการยึดมั่นในสายเชือกของอัลลอฮฺโดยพร้อมเพรียงกัน และไม่แตกแยก ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องคุณธรรมและความยำเกรง ตักเตือนกันเรื่องสัจธรรมและความอดทน จะไม่แตกแยกเสมือนกับการแตกแยกที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มาก่อนพวกเขา พวกเขาจะไม่ทะเลาะวิวาทซึ่งกันและกัน และจะไม่กระทำการใด ๆ ที่จะนำพาไปสู่การแตกแยกซึ่งเป็นผลให้เกิดการบ่อนทำลายความเป็นปึกแผ่น.

แม้พวกเขาจะมีเพียงคนเดียว แต่จะเพิ่มขึ้นด้วยกับเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง การดำรงอยู่อย่างลำพังอาจจะอ่อนแอ แต่มันจะแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยกับพลังแห่งญามาอะฮฺ เสียงร้องตะโกนเพียงคนเดียวอาจจะเบา แต่หากร้องตะโกนพร้อมกันเป็นญามาอะฮฺ เสียงนั้นก็จะก้องกังวาน แท้จริงพระหัตถ์ของอัลลอฮฺอยู่พร้อมกับญามาอะฮฺ หมาป่าจะเลือกกินแกะที่อยู่ตัวเดียวเพียงลำพัง แต่หากอยู่กันเป็นฝูงแกะมันย่อมไม่กล้ากรายกล้ำ ความเป็นปึกแผ่นจะมาทดแทนความอ่อนแอของคนจำนวนน้อย ส่วนเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่ประชาชาติอิสลามร่วมฝันฝ่านั้นคือ การปลดปล่อยสู่ความเป็นเอกภาพ ภราดรภาพ ร่วมฟื้นฟูและพัฒนาให้สัจธรรมเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ปกครองภายใต้หลักการอิสลาม และเผยแพร่ให้กระจายออกไป ภารกิจอันใหญ่หลวงนี้จะสำเร็จมิได้ นอกจากจะต้องมีการทุ่มเทเสียสละของญามาอะฮฺและสิ่งที่จำเป็นก็จะไม่สมบูรณ์ขึ้นได้นอกจากจะต้องมีมัน ดังนั้นความเป็นญามาอะฮฺถือเป็นวายิบที่จะต้องก่อสร้างขึ้นมาให้จงได้

ญามาอะฮฺ จะสอนพวกเขาให้ศึกษาโลกแห่งความเป็นจริง กรองสถานการณ์ให้เข้าใจว่ากลุ่มชนผู้อธรรมเขาจะรวมตัวกันในเรื่องของความอธรรม ดังนั้นเหมาะสมยิ่งกว่า ที่กลุ่มชนแห่งสัจธรรมจะต้องรวมตัวกันบนพื้นฐานของสัจธรรม

สมรภูมิครั้งสำคัญคือการรวบรวมกำลังพลที่อยู่ท่ามกลางความแตกแยก กระจัดกระจาย เพื่อร่วมกันเผชิญหน้ากับศัตรู “แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้ที่ต่อสู้ในหนทางของพระองค์เป็นแถวเดียวกัน ประหนึ่งพวกเขาเป็นอาคารที่ยึดมั่นอย่างแข็งแรง” (อัศศ็อฟ / 4)

ก้อนอิฐที่อยู่อย่างกระจัดกระจาย ถึงแม้จะมีจำนวนมากมาย หรือแต่ละก้อนจะมีความแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็มิใช่อาคารบ้านเรือนที่จะยังประโยชน์อันใดให้แก่มนุษย์ได้ หากเราจะเอาประโยชน์จากมันก็จะต้องจับมาก่อให้ก้อนหนึ่งยึดเหนี่ยวอยู่กับอีกก้อนหนึ่งอย่างเป็นระบบ เป็นไปตามหลักวิชาสถาปัตยกรรม เป็นไปหรือตามแปลนที่ถูกเขียนไว้

ดังนั้นพวกเขาจะต้องมุ่งมั่นต่อการค้นหาแนวร่วมที่มีความละม้ายคล้ายคลึงกับพวกเขาโกยโดยเฉพาะกลุ่มที่กำลังเพรียกหาสัจธรรม คัดค้านต่อความอธรรมทั้งหลายแหล่ และเรียกร้องสู่ความดีงามปฏิเสธความชั่วช้าสามานย์ กำชับกันในเรื่องของคุณธรรม ห้ามปรามกันในเรื่องของความอธรรม ทุ่มเทเสียสละ รวบรวมกำลังกายและกำลังใจ เพื่อที่จะทำให้อิฐที่วางเรียงรายอยู่กลับมาเป็นผนัง – กำแพงอันแข็งแกร่ง และดำเนินไปในแนวทางของระบบญามาอะฮฺ พวกเขาลงมือปฎิบัติกันอย่างนิ่งสงบ ให้ชีวิตเชื่อมโยงระหว่างสัจธรรมกับความอดทน ระหว่างความยากลำบากกับความง่ายดาย ปลูกฝังเรื่องความอดทนอดกลั้น และร่วมกันต่อสู้อย่างมิรู้จักเหน็ดอย่างเมื่อยล้า มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสถาปนาคุณธรรมและความยำเกรง ยืนเคียงข้างกันทั้งในยามทุกข์และยามสุข ผู้ศรัทธากับผู้ศรัทธาเป็นประดุจดั่งอาคารบ้านเรือนซึ่งยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกัน

กลุ่มชนแห่งพระผู้เป็นเจ้า ผู้มีหัวใจตั้งมั่นอยู่บนความบริสุทธิ์ (อิคลาศ)

กลุ่มชนที่พลีตนในวิถีแห่งพระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล ซึ่งพวกเขามีชีวิตอยู่บนโลกดุนยานี้แต่เฉพาะเรือนร่าง ส่วนจิตใจวิญญาณของพวกเขาเป็นของอาคีเราะฮฺ เขาดำรงตนอยู่บนผืนแผ่นดิน แต่หัวใจกลับโหยหาบัลลังก์แห่งอัลลอฮฺ และหวังที่จะได้เป็นกลุ่มชนจำนวนหนึ่งที่ได้อยู่ภายใต้ร่มเงาของพระองค์ในวันที่ไม่มีร่มเงาใด ๆ นอกจากร่มเงาของพระองค์

พวกเขายึดมั่นอยู่ในสายเชือกของอัลลอฮฺอย่างมั่นคง แต่ละก้าวย่างของพวกเขาจะมีรัศมีแห่งอัลลอฮฺคอยสาดส่องนำทาง หัวใจของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักอันพิสุทธิ์ที่มีต่ออัลลอฮฺ ลิ้นของพวกเขาอ่อนโยนเปียกชุ่มไปด้วยการรำลึกถึงพระองค์ อวัยวะในเรือนร่างของพวกเขาเคลื่อนไหวหมกมุ่นอยู่กับการสวามิภักดิ์ต่อพระองค์ พวกเขามีชีวิตอยู่ด้วยกับอัลลอฮฺ และดำเนินไปเพื่ออัลลอฮฺ ด้วยกับอัลลอฮฺเท่านั้นที่พวกเขายึดมั่น และจากพระองค์เท่านั้นที่พวกเขาขอความช่วยเหลือ และยังพระองค์เท่านั้นที่พวกเขามุ่งแสวงความใกล้ชิดความพึงพอพระทัย ทุกอริยบทของการเคลื่อนไหว ทุกความเป็นไปของการสงบนิ่ง ดำเนินไปตามแสงสว่างของคัมภีร์อัลกุรอาน พวกเขาจะรักกันเพื่ออัลลอฮฺ โกรธกันเพื่ออัลลอฮฺ จะถักทอสายใยความสัมพันธ์สร้างปฏิสัมพันธ์กันเพื่อพระองค์ หยิบยื่นมอบให้แก่กันเพื่อองค์ ต่อสู้เพื่อพระองค์ ฉะนั้น อัลลอฮฺคือปฐมบทของพวกเขา และเป็นเป้าหมายสุดท้ายของพวกเขาเช่นเดียวกัน “พระองค์ทรงเป็นองค์แรก และองค์สุดท้าย” (อัลหะดีด / 3 ) “และแท้จริงจุดหมายปลายทาง(ของเขา)มุ่งไปสู่พระเจ้าของเจ้า” (อัลนัจมฺ / 42)

คุณลักษณะที่โดดเด่นกว่าผู้คนทั่วไปของพวกเขาคือ “เป็นกลุ่มชนที่มีความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮฺ” พวกเขามีความบริสุทธิ์ใจต่อศาสนาของพวกเขาเพื่ออัลลอฮฺ เสมือนที่พระองค์ทรงเลือกศาสนาอันพิสุทธิ์ให้แก่พวกเขา พวกเขามั่นใจว่าดุนยาถูกสรรสร้างขึ้นมาเพื่อพวกเขา และพวกเขาถูกอุบัติขึ้นมาก็เพื่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นพวกเขาเลยไม่สงสัยในสิ่งหนึ่งสิ่งใดในคำดำรัสของพระผู้อภิบาล เมื่อมันได้มาประจักษ์เป็นพยานอยู่เบื้องหน้าและสายตาของพวกเขา “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แท้จริงการละหมาดของฉัน และการอิบาดะฮฺของฉัน และการมีชีวิตอยู่ของฉันและการตายของฉันนั้นเพื่ออัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลกเพียงเท่านั้น ไม่มีภาคีใด ๆ แก่พระองค์” (อัลอันอาม / 161-162)

เมื่อมนุษย์มีเป้าหมายในการดำรงชีวิตที่ขัดแย้งแตกต่างกัน บ้างก็จมปลักอยู่กับการสะสมทรัพย์สมบัติ บ้างก็มุ่งอยู่กับการแสวงหาชื่อเสียงเกียรติยศ คลั่งใคล้อยู่กับการควานหาอำนาจบารมี บ้างก็หมกมุ่นหลงใหลอยู่กับนารี ตัณหาราคะ บ้างก็ตกเป็นทาสของสุรายาเมา แต่สำหรับพวกเขานั้น จะเป็นกลุ่มชนที่ไม่ปรารถนาเรื่องอำนาจชื่อเสียง หรือบารมีแห่งโลกนี้และไม่ปล่อยให้ตัวตนสร้างความเสื่อมเสียให้เกิดขึ้นบนหน้าแผ่นดิน ไม่ต้องการความร่ำรวยฟุ้งเฟ้อ เขาจะไม่พันธนาการตัวเองไว้กับความต้องการของอารมณ์ใฝ่ต่ำ เขามักจะอ้อนวอนขอต่อพระผู้อภิบาลว่า “อย่าได้ให้ดุนยามาครอบงำวิชาความรู้ของเรา เมื่อความสวยงามของดุนยามาประสบกับเรา เราจะจับมันวางไว้บนฝ่ามือและขยี้เสีย เพื่อไม่ให้มันรุกล้ำเข้าไปเกาะกินในหัวใจ” เขาจะเอามันไว้ให้เป็นแค่เพียงทางผ่าน มิได้กอดรัดมันไว้เป็นเป้าหมายในการดำเนินชีวิต แต่ทว่าสิ่งที่เป็นสารัตถะสำคัญของพวกเขาคืออาคีเราะฮฺ เพราะทุกสรรพสิ่งที่งอกขึ้นดำรงอยู่บนผืนแผ่นดินจะละลายกลายเป็นดินในที่สุด

ดวงใจทุกดวงของพวกเขาถักร้อยไว้ด้วยกับความปลื้มปีติแห่งการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ ไม่ได้ร้องหาสิ่งอื่นใดมาเป็นพระเจ้านอกจากพระองค์ไม่ต้องการรัฐธรรมนูญอื่นใดมาปกครองนอกจากอัลกุรอาน ไม่ยอมรับหรือลอกเลียนบุคลิกภาพของผู้ใดนอกจากแบบอย่างของท่านรอซูลลุลลอฮฺเท่านั้น วิถีชีวิตของพวกเขาหลุดพ้นจากวงจรของพระเจ้าจอมปลอม ไม่ยอมจำนนอิบาดะฮฺต่อสิ่งใดอื่นจากอัลลอฮฺ สติปัญญาและหัวใจของพวกเขาไม่ยอมสิโรราบต่อสิ่งใดนอกจากดำรัสของอัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลจักรวาล พวกเขาเข้าใจความหมายของคำขอพร วอนขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮฺด้วยความหวัง และความหวั่นเกรงอย่างลึกซึ้ง “เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราเราเคารพภักดี และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ” (อัลฟาติหะฮฺ / 5)พวกเขาสามารถแบ่งแยกหนทางอันเที่ยงธรรมกับหนทางที่หลงผิดออกจากกันอย่างชัดเจน

ชนผู้สืบเชื้อสายแห่งอัลอิสลาม

เมื่อมีผู้ถามถึงสัญชาติ หรือเชื้อสาย หรือเอกสารประจำตัวต่าง ๆ ของพวกเขา พวกเขาจะตอบว่า เขาคือ “มุสลิม” ไม่ได้เป็นมุสลิมเฉพาะชื่อหรือสกุล ไม่ได้เป็นมุสลิมเพราะมรดกหรือหรือสภาพแวดล้อม แต่เป็นมุสลิมด้วยกับการศึกษาเรียนรู้ จำนนต่อหลักฐานที่สอดรับกับสติปัญญาพยายามลิ้มลองและสัมผัส ประดับประดาชีวิตของพวกเขาด้วยกับจรรยามารยาทอันดีงานแห่งอิสลาม พวกเขาต่อต้านญาฮีลียะฮฺด้วยชีวิต เรียกร้องสู่อัลลอฮฺบนเส้นทางของความรู้ พวกเขาพึงพอใจและหวงแหนอิสลามอย่างที่สุด จะไม่ให้พวกเขาพึงพอใจได้อย่างไรเล่า ขณะที่พระผู้ทรงสร้างชีวิตเขายินดีพอพระทัยมอบมันให้แก่พวกเขา “วันนี้ฉันได้ให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์แล้ว และได้ประทานความครบถ้วนให้แก่สูเจ้า และฉันได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้า” (อัลมาอิดะฮฺ / 3) “และผู้ใดแสวงหาศาสนาใดอื่นจากอิสลาม ศาสนานั้นจะไม่ถูกตอบรับเป็นอันขาดและในวันอาคีเราะฮฺเขาจะตกอยู่ในบรรดาผู้ที่ขาดทุน” (อาละอิมรอน / 85) “เมื่อพวกเขาถูกเรียกร้องไปสู่อัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์เพื่อให้ตัดสินปัญหาระหว่างพวกเขา พวกเขากล่าวว่า เราได้ยินแล้ว และเราเชื่อฟังปฏิบัติตาม” (อัลมาอิดะฮฺ / 3) และเมื่อพวกเขาถูกเรียกร้องสู่การตัดสินปัญหาตามแนวทางของฏอฆูต (ทุกสิ่งที่ถูกกราบไหว้อื่นจากแนวทางของอัลลอฮฺและรอซูล) พวกเขาจะกล่าวว่า : เราปฏิเสธแล้ว และเราฝ่าฝืนแล้ว

พวกเขาต่อต้านการเลียนแบบอารยะธรรมทั้งจากตันตกและตะวันออกทุกรูปแบบ แสงสว่างของพวกเขาถูกส่องมาจากคบเพลิงที่มีความจำเริญ “มันมิได้อยู่ทางตะวันออกและมิได้อยู่ทางตะวันตก น้ำมันของมันแทบส่องประกายออกมา แม้นว่าไฟมิได้กระทบมัน ดวงประทีปซ้อนดวงประทีป” (อันนูร / 35) พวกเขาจะไม่ยอมรับต่อความอธรรมจากระบบทุนนิยม และความมืดบอดของระบอบคอมมิวนิสต์ ไม่ฝักใฝ่พวกเอียงขวาหรือเอียงซ้าย เขาจะอยู่อระจำยึดมั่นอยู่กับศูนย์บริหารงานแห่งอิสลามอัตลักษณ์ของพวกเขาเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า “บิดาของฉันคืออิสลาม ไม่มีบิดาคนใดแล้วนอกเหนือจากนี้ ฉันมีความภาคภูมิใจมากยิ่งกว่าเผ่ากัยซ์หรือเผ่าตะมีม”

กลุ่มชนนักเผยแพร่และนักต่อสู้

เป็นกลุ่มชนแห่งนักเผยแพร่นักต่อสู้ เป็นดั่งบรรดามุฮาญิรีนและชาวอันศอร พวกเขาถูกกลั่นมาจากบางส่วนของคุณลักษณะแห่งบรรดาศอฮาบะฮฺ พวกเขาต่อสู้กับตนเองเสมือนกับต่อสู้กับศัตรูของพระองค์ พวกเขาไม่หมกมุ่นกับการต่อสู้กับตัวเองจนลืมศัตรู และไม่มุ่งในการต่อสู้กับศัตรูจนกระทั่งลืมต่อสู้กับตัวเอง ภายนอกพวกเขาต่อกรอยู่เสมอกับความชั่วช้าที่แฝงอยู่ภายในและการปฏิเสธที่อยู่ภายนอก พวกเขาไม่ละทิ้งอาวุธหรือหยุดพักผ่อนหรือละเลยต่อการต่อสู้ และขจัดผองภัยให้หมดไปจนกว่าโลกทั้งผองจะปกครองด้วยอิสลาม ผืนดินทั้งหมดของพระองค์เป็นสนามของพวกเขา ประเทศอิสลามทั้งหมดเป็นประเทศของพวกเขา ไม่ใช่เรื่องแปลกหากท่านเป็นชายอาหรับลุกขึ้นประชันหน้าต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในอัฟกานิสถาน หรือท่านเห็นชาวปากีสถาน ต่อสู้กับยะฮูดีย์ร่วมกับพี่น้องในปาเลสไตน์และในเลบานอนสำหรับพวกเขามองดูผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นศาสนาเดียวกันหมด พวกเขาต่างร่วมขบวนและแห่กันไปสู่วิถีแห่งพระผู้เป็นเจ้า ไม่ลังเลใจที่จะเข้าร่วมทุกสมรภูมิที่เพรียกหาพวกเขาเป็นแนวร่วม ใช้ทุกอย่างที่หามาได้โดยชอบธรรมมาประดับไว้เป้นอาวุธ เพื่อกวัดแกว่ง คร่าทุกความชั่วร้ายด้วยกับพลังที่พวกเขามี แม้บางคราจำเป็นต้องแลกกับชีวิต แต่มันก็คือความคุ้มค่าอันสูงสุดสำหรับพวกเขา ที่ได้พลีทุกอย่างเพื่อปกปักษ์สาส์นอันสูงส่ง “และผู้ใดที่ช่วยเหลือในหนทางของอัลลอฮฺ เขาก็จะได้ภาคผลบุญเท่ากับผู้ที่ร่วมต่อสู้” “และจงต่อสู้ด้วยทรัพย์สมบัติของพวกเจ้า และชีวิตของพวกเจ้าในหนทางของอัลลอฮฺ” (อัตเตาะบะฮฺ / 41) ในบางครั้งต้องต่อสู้ด้วยกับคำพูดเพื่อให้ความจริงได้กระชากหน้ากากของความจอมปลอมของเหล่าเดรัจฉานให้หลุดออกจากใบหน้า แม้บางครั้งพวกเขาอาจจะอ่อนแอ ด้วยการต่อสู้กับอาวุธ แต่จะไม่อ่อนแอที่จะต่อสู้ด้วยกับอัลกุรอานเพราะถือว่าเป็นการญิฮาดที่ยิ่งใหญ่ ดั่งดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า “ดังนั้นพวกเจ้าอย่าเชื่อฟังพวกปฏิเสธศรัทธา และจงต่อสู้กับพวกเขาด้วยกับอัลกุรอานเพราะนั่นเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่” (อัลฟุรกอน / 52)

กลุ่มชนที่มีความภาคภูมิใจในศาสนาอันสูงส่งของพวกเขา ส่วนดุนยาเป็นเพียงทางผางที่ไม่มีค่าควรอันใดแก่การสะสมขวนขวาน สิ่งที่มีค่าราคาแพงยิ่งของพวกเขาคือ หลักการเชื่อมั่น(อากีดะฮฺ) ดังนั้นชีวิตและทรัพย์สมบัติของพวกเขาก็จะมีราคาถูกยิ่งเมื่อนำมาเทียบกับอากีดะฮฺอันสูงค่า ผู้ที่รู้จักค่าของสิ่งที่มีราคาแพงเขาย่อมทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อที่จะให้ได้ครอบครองมันไว้ในอ้อมกอด อัลลอฮฺได้ซื้อพวกเขาแล้ว และพวกเขาก็ได้ขายมันออกไปเพื่อพระองค์ โดยได้ทำสนธิสัญญาไว้ระหว่างพวกเขากับพระผู้อภิบาลของพวกเขา ดังนั้นเขาจะไม่รู้สึกเสียใจหรือผิดหวัง และไม่ยอมแลกสิ่งที่มีค่ายิ่งสำหรับพวกเขานั้นคือความโปรดปรานของพระองค์ จนกระทั่งพวกเขาพึงพอใจและมอบสิทธิทั้งหมดของพวกเขาให้แก่พระองค์ โดยที่พระองค์ก็ทรงพอพระทัย “แท้จริงอัลลอฮฺนั้นได้ทรงซื้อจากบรรดาผู้ศรัทธาซึ่งชีวิตของพวกเขาและทรัพย์สินของพวกเขาโดยพวกเขาจะได้รับสวนสวรรค์เป็นการตอบแทน พวกเขาจะต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ และพวกเขาจะฆ่า และพวกเขาจะถูกฆ่า เป็นสัญญาของพระองค์เองอยางแท้จริง ซึ่งมีปรากฏอยู่ในคัมภีร์เตอรอต อินญีล และอัลกุรอาน และใครเล่าจะรักษาสัญญาของพวกเขาได้ดียิ่งไปกว่าอัลลอฮฺ ดังนั้นพวกเจ้าจงภาคภูมิใจในการขายของพวกเจ้าเถิด ซึ่งในสิ่งที่พวกเจ้าได้ขายมันไป และนี่คือชัยชนะอันใหญ่หลวง” (อัตเตาบะฮฺ / 111)

และท่ารอซูลุลลอฮฺได้กล่าวไว้ความว่า “ผู้ใดที่กลัว(ถึงบ้านอย่างไม่ปลอดภัย)ก็จงออกเดินทางตั้งแต่พลบค่ำ และผู้ที่ออกเดินทางตั้งแต่พลบค่ำเขาจะถึงบ้านของเขาอย่างปลอดภัย พึงทราบเถิด แท้จริงสินค้าของอัลลอฮฺนั้นมีราคาแพง พึงทราบเถิดแท้จริงสินค้าของอัลลอฮฺนั้น คือ สวนสวรรค์” เรางานโดยตีรมีซีย์

ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นดั่งพอค้าที่ดื่มด่ำอยู่ในกระแสธารของความบรมสุข มีความหวังว่าการค้าขายของพวกเขาจะไม่มีวันขาดทุนหรือสูญเปล่า การค้าของของพวกเขาคือการอีมานและการญิฮาด ตลาดของพวกเขาคือเมียะห์รอบ(มุมของมัสยิดที่ใช้เป็นที่ทำอิบาดะฮฺ) และทุก ๆ สมรภูมิรบ ส่วนเงินทุนของพวกเขาคือวันคืนที่ก้าวผ่านและอายุขัย และกำไรสุทธิของพวกเขาคือ การอภัยโทษจากอัลลอฮฺ และสวนสวรรค์ชั้นบรมสุขซึ่งมีธารน้ำไหลผ่านอยู่เบื้องล่างนั้น

ทุกครั้งที่เขาเห็นความญาฮิลียะฮฺตั้งเด่นอยู่บนปลายจมูกของผู้มีอำนาจหรือวางชัดเจนอยู่บนศีรษะของชัยฏอน หัวอกของพวกเขาจะเดือดพล่านด้วยความโกรธต่อสิ่งที่อัลลอฮฺทรงห้าม เสมือนน้ำในกาที่เดือดในขณะที่ไฟร้อนจัด ยิ่งกว่านั้น หัวใจของพวกเขาแทบละลายเพราะความโศกเศร้าเสียใจ ประหนึ่งดั่งเกลือที่ละลายด้วยกับน้ำ ไม่มีสิ่งใดในชีวิตมุมินที่ร้ายแรงไปกว่าการที่สัจธรรมถูกย่ำยีบีฑา แล้วนำเอาความอธรรมขึ้นมาอยู่แถวหน้าแทนที่ และการที่บัญญัติของอัลลอฮฺถูกปกปิดซ่อนเร้น แล้วเอาคำพูดของฏอฆูตมาเปิดเผยอยางเด่นชัดอยู่เหนือคำดำรัสของพระองค์

บุคคลอื่นจากพวกเขาจะดำเนินชีวิตโดยไร้ความกังวลโศกเศร้า หากจะโศกเศร้าก็แต่เฉพาะเรื่องราวส่วนตัว หรือครอบครัวเท่านั้น แต่พวกเขาหาเป็นเช่นนั้นไม่ ทั้งยามบ่ายและยามเช้าพวกเขาจะแบกรับความวิตกกังวลของประชาชาติอิสลามอยู่ตลอดเวลา ความเจ็บปวดของประชาชาติอิสลาม ทุกวันนี้เขารู้สึกถึงความปวดร้าว ความเศร้าโศกของประชาชาติที่ประสบอยู่ทำให้หัวใจของพวกเขารู้สึกประหนึ่งดั่งถูกกดทับ

สิ่งแรกที่ทุกคนต้องครุ่นคิดคือ เรื่องของศาสนา ส่วนเรื่องของดุนยาเป็นเรื่องสุดท้ายที่พวกเขาคำนึงถึง ทั้งหมดของพวกเขาจะพูดว่า ประชาชาติของฉันไม่ใช่เป็นแค่ผู้ที่พูดได้แค่ว่า ตัวฉัน ของ ๆ ฉัน ภารกิจอันใหญ่หลวงของพวกเขาคือ การโต้ตอบต่อบรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺ พยายามให้พวกเขาเหล่านั้นหวนคืนสู่พระองค์ในสภาพของผู้ที่กลับเนื้อกลับตัว เผยแผ่ต่อบรรดาผู้ที่หลงผิดจากครรลองอิสลามเพื่อให้เขาเหล่านั้นกลับมาสู่พระองค์ในสภาพของผู้ที่ได้รับทางนำ และยืนเผชิญหน้ากับศัตรูผู้ทำลายประชาชาติแห่งอัลกุรอาน เพื่อที่จะปกป้องประชาชาตินี้ให้หลุดพ้นจากน้ำมือของผู้บิดพลิ้ว ผู้ที่ทำลาย “และผู้ใดเง่าจะมีคำพูดที่ดีเลิศยิ่งไปกว่าผู้ที่เชิญชวนไปสู่อัลลอฮฺ เขาจะต้องปฏิบัติงานที่ดี และกล่าวว่า แท้จริงฉันเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้นอบน้อม” (ฟุศศิลัต /33)

อยู่อย่างคนแปลกหน้า แต่ทว่าอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้

มีชีวิตอยู่กับจิตวิญญาณอันมุ่งมั่น มีเส้นทางในการก้าวเดินอย่างโดดเด่นเสียสละในหนทางของอัลลอฮฺอย่างตอเนื่อง มีชีวิตอยู่อย่างคนแปลกหน้า ถึงแม้ว่าจะอาศัยอยู่ในประเทศของกลุ่มคนเหล่านั้น หรือในขณะที่อาศัยอยู่กับครอบครัวหรือบรรดาเครือญาติก็ตามที ไม่ใช่แปลกตรงที่ประเทศที่อยู่อาศัย หรือที่รูปร่างหน้าตา หรืออำนาจการปกครอง หรือภาษา หากแต่ทว่า เป็นคนแปลกหน้าตรงที่แนวคิด อุดมการณ์ จิตวิญญาณ และเส้นทางในการดำเนินชีวิต พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 15 เฉพาะเรือนร่าง ส่วนแนวคิดและจิตวิญญาณของพวกเขานั้นเหมือนดั่งการใช้ชีวิตของประชาชาติแห่งอิสลามในยุคแรก ๆ พวกเขามองผู้ร่วมยุคร่วมสมัยและชนในชาติด้วยสายตาที่เป็นธรรม แต่จะยกย่องชื่นชนอย่างสูงยิ่งต่อบุคลิกลักษณะของบรรดาศอฮาบะฮฺ ดังนั้นพวกเขาจะได้สัมผัสอันรู้สึกถึงความแปลกหน้า และมีความปลื้มปีติยินดีอยู่ด้วยกับความแปลกอันนั้น และ “ฏูบานั้นมีสำหรับคนแปลกหน้า”

ความแปลกหน้าอันนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขากักขังตัวเองไว้จนทำให้ความหวังหมดสิ้นหรือถึงกับต้องเบือนหน้าหนีจากผู้คนเพื่อหลบทำอิบาดะฮฺ ไม่ได้ปลีกตัวอย่างสันโดษเพื่อทำการเคารพสักการะอย่างยอมจำนน เหมือนดั่งการปฏิบัติของนักบวชคริสเตียนหรือนักพรตในสมัยญาฮีลียะฮฺ หากทว่าความเป็นนักบวชของพวกเขาคือการญิฮาด ความเป็นนักพรตคือการเผยแพร่สู่แนวทางของนบีอิบรอฮีม เหตุดังกล่าวจะส่งผลให้พวกเขายืนหยัดในสมรภูมิอย่างเหนียวแน่น อดทนต่อภัยพิบัติที่ถูกทดสอบ โลดแล่นอยู่บนถนนสายนี้อย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะเพิ่มพูนเมื่อผู้อื่นลดหย่อน จะเป็นผู้ปรับปรุงแก้ไขเมื่อผู้อื่นทำเสื่อมเสีย พวกเขาเป็นกลุ่มชนผู้ปลุกเร้าประชาชาติสู่การคืนตื่นตัวสู่อิสลาม เป็นต้นแบบของความบริสุทธิ์ เป็นแบบอย่างให้กับคนรอบข้าง จะอยู่แถวหน้าสุดขณะที่มีเสียงเรียกร้องสู่การญิฮาด และจะร่อนไปอยู่แถวหลังเมื่อมีการแบ่งทรัพย์เชลย จุดเด่นของพวกเขาคือเป็นผู้เสียสละอย่างยิ่ง มิได้มีชีวิตอยู่บนหอคอยงาช้าง ห่างไกลจากผู้คน กระทำตนให้สูงส่งกว่าผู้อื่น จนไม่มีใครเอื้อมถึง หากแต่ทว่าเขาจะอยู่ร่วมกับฝูงชน ใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างกับพี่น้องมุสลิมในทุกที่ ช่วยแบกรับเอาความโศกเศร้าของประชาชาติ ช่วยบรรเทาแก้ไขปัญหาให้กับผู้อื่น มีส่วนร่วมในความทุกข์และความสุข ลิ้มรสทั้งความเจ็บปวดและความหอมหวาน ทุกพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการอุทิศจากพวกเขา ประชาชาติเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา และพวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของประชาชาติ ไม่ได้แยกส่วนออกจากกันแต่อย่างใด คนเบาปัญญาเท่านั้นที่จะปฏิเสธพวกเขา พวกเขาเป็นดั่งบิดาให้แก่ผู้เยาว์ เป็นเสมือนลูกน้อยให้แก่ผู้อาวุโส เป็นพี่น้องให้แก่ผู้ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นผู้ชี้แนะแนวทางให้กับกลุ่มชนอยางไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ดังนั้นพวกเขาจะคุ้นเคยโดยธรรมชาติ และจะเป็นต้นทุนของประวัติศาสตร์สำหรับทุก ๆ การเคลื่อนไหวเพื่ออิสลาม

กลุ่มชนผู้เข้มแข็ง ผู้มีเกียรติ

พวกเขาดำรงตนในกลุ่มชนและยุคสมัยของพวกเขาอย่างคนแปลกหน้า “เป็นผู้ที่เข้มแข็ง และเป็นผู้ที่มีเกียรติ” พวกเขาจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง ถึงแม้ว่าจะมีแนวร่วมอยู่เพียงน้อยนิด และไม่รู้สึกอ่อนแอหรือท้อถอยถึงแม้ว่าฝ่ายทำลายจะมีจำนวนมากกว่า จิตใจของพวกเขาสูงส่งและเตรียมพร้อม พวกเขาเป็นดั่งภูผาอันมั่นคงสูงตระหว่าน เป็นดั่งดวงดาวแห่งศรัทธาที่เปล่งประกายประดับท้องฟ้า หากคนใดในหมู่พวกเขาต้องล้มตายลงเพราะความหิวกระหาย เขาก็จะไม่แบมือร้องขอต่อใคร แม้พวกเขาจะถูกฆ่าทารุณอย่างทรมานเขาก็จะไม่ยอมก้มศีรษะให้กับผู้ที่ต้อยต่ำ พวกเขามองดูผู้ที่ร่ำรวยและมีอำนาจเหมือนดั่งจิตแพทย์ที่มองดูคนไข้ของพวกเขา จะไม่กลัวเกรงผู้ร่ำรวยเหล่านั้น แต่ทว่ารู้สึกสงสารต่อภาระอันหนักอึ้งที่วางอยู่บนแผ่นหลังของพวกเขา และในหัวอกของพวกเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความป่วยไข้ มองทรัพย์สมบัติที่เขาเหล่านั้นได้แข่งขันกันสะสมด้วยสายตาของผู้ที่รู้ว่ามันมีค่าเพียงเศษวัตถุ “วันที่มัน (เงินทองที่พวกเขาสะสม)จะถูกเผาไปในนรกญะฮันนัม และหน้าผากของพวกเขาและสีข้างของพวกเขาและแผ่นหลังของพวกเขาเราจะทาบด้วยกับมัน นี่แหละคือสิ่งที่พวกเจ้าสะสมไว้เพื่อตัวของพวกเจ้าเอง” (อัตเตาบะฮฺ / 35)

ความเข้มแข็งของพวกเขาเป็นความเข้มแข็งของสัจธรรม และพวกเขากำลังเรียกร้องไปสู่สิ่งนั้น และเกียรติของพวกเขา เป็นเกียรติแห่งอัลลอฮฺ ซึ่งพวกเขาศรัทธามั่นต่อเกียรตินั้น และเกียรติของพวกเขา เป็นเกียรติแห่งอัลลอฮฺ ซึ่งพวกเขาศรัทธามั่นต่อเกียรติอันนั้น “ผู้ใดต้องการเกียรติ ดังนั้นเกียรติทั้งมวลเป็นของอัลลอฮฺ (ฟาฏิร / 10) การมองของพวกเขามองด้วยรัศมีของอัลลอฮฺ การพูดจาของพวกเขา พูดด้วยกับลิ้นของบรรดานบี การเปลี่ยนแปลงของพวกเขาเป็นไปด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีอยู่ พวกเขาไม่หลงระเริงอยู่กับคำสรรเสริญเยินยอ และไม่เกรงกลัวต่อคำขู่เข็ญ พวกเขาเป็นดั่งแร่ธาตุ ที่จะไม่หลอมละลายด้วยกับเปลวไฟ และจะไม่ขาดวิ่นด้วยกับการตัดรอนของคมเหล็ก

พวกเขาได้รับการชี้นำจากอัลลอฮฺ ดังนั้นพวกเขาจะไม่หลงผิด พวกเขาได้รับเกียรติด้วยกับศาสนาของพระองค์ ดังนั้นพวกเขาจะไม่ตกต่ำ พวกเขาได้รับชัยชนะด้วยกับพลานุภาพของอัลลอฮฺ ดังนั้นพวกเขาจะไม่มีวันพ่ายแพ้ พวกเขาได้รับความร่ำรวยด้วยกับความร่ำรวยแห่งพระองค์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยากจนตลอดไป ศิลปินคนหนึ่งกล่าวว่า


“หากฉันมีชีวิตอยู่ก็มิได้อยู่อย่างคนไร้ปัจจัยยังชีพ
หากฉันต้องตาย ฉันก็จะไม่ตายอย่างคนไร้สุสาน
ความมุ่งมั่นของฉันก็เหมือนดั่งความมุ่งมั่นของบรรดากษัตริย์
ส่วนตัวฉันเป็นชีวิตอิสระ
คอยสอดส่องความตกต่ำของการปฏิเสธศรัทธา
เมื่อปัจจัยยังชีพไม่เพียงพอในชีวิตฉัน
ดังนั้นทำไมฉันต้องไปเกรงกลัวซัยด์และอุมัรด้วยเล่า?”

 

กลุ่มชนที่เมื่อพวกเขาตกอยู่ในวังวนของการทดสอบ พวกเขาจะไม่อ่อนแอพ่ายแพ้ ไฟแห่งการทดสอบจะไม่สามารถเผาผลาญเขาได้ พลังในตัวของพวกเขาจะไม่ดับมอด การทดสอบจะไม่มีชัยเหนือความอดทนของพวกเขา จะไม่ทำให้ความมุ่งมั่นของพวกเขาเหือดแห้ง ไม่ทำให้ความหวังของพวกเขาเลือนหาย หากแต่มันคือโอกาสที่จะซักฟอกขัดเกลาจิตใจของพวกเขาให้เข้มแข็ง เป็นตัวแยกแยะคนในสังคม ทบทวนตัวเองอยู่ตลอดเพื่อเตรียมการสำหรับวันพรุ่ง ไม่รู้สึกตกต่ำ ไม่อ่อนแอหรือพ่ายแพ้ ไม่ยอมสยบต่อสิ่งใด แบบอย่างของพวกเขาในเรื่องดังกล่าวเหมือนแนวทางแห่งกลุ่มชนของพระผู้อภิบาล ซึ่งอัลลอฮฺได้กล่าวสรรเสริญพวกเขาในคัมภีร์ของพระองค์ความว่า “และกี่มากน้อยแล้วจากบรรดานบี ที่กลุ่มชนจำนวนมากได้ร่วมต่อสู้กับเขา และพวกเขามิได้ท้อแท้ต่อสิ่งที่มาประสบกับพวกเขาในหนทางของอัลลอฮฺ และพวกเขาหาได้อ่อนกำลังลง และพวกเขาไม่ยอมสยบต่อสิ่งใด และอัลลอฮฺจะทรงรักใคร่บรรดาผู้ที่อดทน และคำพูดของพวกเขาไม่ได้ปรากฏเป็นอื่นใดนอกจากพวกเขาเหล่านั้นกล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดทรงอภัยโทษให้กับเราด้วยเถิดจากบรรดาความผิดของพวกเรา และการที่พวกเรากระทำเกินเลยในกิจการของพวกเรา และโปรดทำให้เท้าของพวกเรามั่นคงอยู่ และทรงช่วยเหลือพวกเราให้มีชัยชนะเหนือบรรดาผู้ปฏิเสธด้วยเถิด แล้วอัลลอฮฺก็ทรงประทานให้แก่พวกเขาซึ่งผลตอบแทนแห่งโลกนี้ และผลตอบแทนแห่งอาคิเราะฮฺ และอัลลอฮฺนั้นทรงรักใคร่ผู้ประกอบคุณงามความดีทั้งหลาย” (อาละอิมรอน / 146-148)

เหตุผลข้างต้นทำให้เขามีชัยชนะเหนือการทดสอบ เขาจะเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส และเขาจะก้าวพ้นการทดสอบอย่างผู้มีความปรีชาสามารถ และสะอาดยิ่ง ดั่งพจนารถแห่งศาสดา “อุปมาผู้ที่ศรัทธาเมื่อประสบกับภัยพิบัติ อุปมาดั่งเหล็กที่ถูกไฟไหม้ ส่วนที่ไม่ดีจะละลายและคงไว้แต่ส่วนที่ดี” ส่วนบรรดาผู้ที่ก้มศีรษะให้กับผู้อื่นเวลาเผชิญหน้ากับบรรดาผู้ที่โอ้อวด จะทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ ตัวลีบด้วยกับเหตุผลสองประการ หนึ่ง-กลัว สอง-ละโมบ สำหรับชนในยุคแห่งชัยชนะนั้นเขาจะปิดประตูแห่งความกลัวที่เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา เขาจะไม่หวนกลับไปกลัวต่อสิ่งใดนอกจากอัลลอฮฺและวันอาคิเราะฮฺ เช่นกัน พวกเขาจะปิดประตูของความละโมบที่จะแง้มเปิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา พวกเขาจะไม่ปล่อยให้มันสถิตอยู่ในหัวใจของพวกเขา นอกจากความละโมบในความต้องการการอภัยโทษจากอัลลอฮฺ และละโมบปรารถนาอยากได้สวรรค์ของพระองค์ ที่ได้ถูกเสนอไว้ทั้งผืนฟ้าและแผ่นดิน พวกเขาจะไม่เกรงกลัวต่อความตาย เพราะมันคือปลายทางที่ถูกกำหนดไว้แล้ว และไม่ทุกข์ใจในเรื่องปัจจัยยังชีพ เพราะมันคือส่วนแบ่งที่ถูกจัดสรรไว้แล้วเช่นกัน

บรรดาผู้ที่อธรรมจะไม่สามารถยัดเยียดความอ่อนแอให้เกิดขึ้นในจิตใจของพวกเขาได้ หรือบังคับให้พวกเขาต้องก้มศีรษะให้แก่ผู้ใด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยแส้ ถึงแม้ต้องลิ้มรสกับความขมขื่น หากผู้อธรรมสามารถยึดครองภายนอกของพวกเขาได้ แต่ก็จะไม่สามารถยึดครองภายในของพวกเขาได้อย่างเด็ดขาด แม้ผู้ปฏิเสธจะกักขังเรือนร่างของพวกเขาไว้ แต่เขาเหล่านั้นก็จะไม่สามารถกักขังกันจิตวิญญาณที่ถวิลหาอิสลามของเขาและเมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับบรรดาทหารของฟิรเอาน์ ที่พยายามเข่นฆ่าหรือยึดตรึงพวกเขา พวกเขาก็จะกล่าวเหมือนดั่งที่บรรดานักไสยศาสตร์กล่าวกับฟิรเอาน์ขณะที่ได้ยอมศรัทธาต่ออัลลอฮฺแล้วว่า “ท่านจงกระทำในสิ่งที่ท่านต้องการจะกระทำเถิด แท้จริงท่านจะกระทำได้ในชีวิตแห่งโลกนี้เท่านั้น” (ฏอฮา / 72)

และด้วยเหตุผลใดเล่าที่ศัตรูผู้โอหังจะสามารถจับกุมคุมขังพวกเขาได้ในเมื่อพวกเขาดำรงอยู่ในกระแสธารแห่งบททดสอบนั้นเสมือนหนึ่งการโยนทองคำแท้เข้าไปในกองไฟ การทดสอบมิได้มีผลอะไรแก่พวกเขานอกจากจะยิ่งเพิ่มความบริสุทธิ์ผุดผ่อง และอีมานอันมั่นคงให้เกิดขึ้น เฉกเช่นเดียวกับเชื้อเพลิงที่ได้เพิ่มความแวววาวให้กับทองคำแท้

แล้วจะมีอะไรเล่าที่ผู้อธรรมสามารถยึดครองหัวใจของผู้ศรัทธาได้ เมื่อพวกเขารู้สึกมีความสุขใจอยู่กับความทุกข์ทรมานเพื่อปกป้องอากีดะฮฺของพวกเขาเสียแล้ว และพวกเขาพร้อมที่จะลิ้มรสชาติของความขมขื่นเพื่อช่วยเหลืองานดะวะฮฺ เขาได้ให้สมญานามแห่งการถูกขับไล่ว่าคือการอพยพหนทางของอัลลอฮฺ การถูกคุมขังเป็นการปลีกตัวเพื่อสวามิภักดิ์ต่อพระองค์อัลลอฮฺ การถูกฆ่าเป็นการตายในหนทางของอัลลอฮฺ

กลุ่มชนผู้สร้างดุลยภาพและความยุติธรรม

พวกเขาเป็นกลุ่มชนที่สร้างดุลยภาพและความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในทุกที่ที่เขามีชีวิตอยู่ โลดแล่นอยู่บนเส้นทางอันเที่ยงตรง ไม่โอนเอนไปในแนวทางหนึ่งแนวทางใด ไม่จมปลักอยู่กับวัตถุนิยมและไม่มุ่งแต่เฉพาะเรื่องจิตวิญญาณ เรียนรู้สิทธิแห่งพระผู้อภิบาลที่เขาต้องมอบให้ สิทธิที่พึงมีแก่พวกเขาที่จำเป็นจะต้องกระทำ สิทธิที่พึงมีแก่ครอบครัว สิทธิที่พึงมีแก่สังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่ ดังนั้นพวกเขาจะเป็นผู้มอบทุกสิทธิที่ควรค่าแก่สิทธินั้น ปฏิบัติต่อสิ่งที่เป็นฟัรฏูโดยไม่ละเลยสิ่งที่ถูกส่งเสริม เพราะอัลลอฮฺทรงรักใคร่ต่อผู้ที่ปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์ส่งเสริมให้กระทำ เหมือนกับการปฏิบัติอย่างจริงจังในสิ่งที่เป็นฟัรฏู เป็นผู้บอกกล่าวข่าวดี มิใช่เป็นผู้ขู่เข็ญผู้อื่นด้วยข่าวร้าย ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไม่ใช่ใช้ชีวิตอยู่บนความยากลำบากดั่งที่อัลกุรอานได้บอกเล่าพวกเขา แท้จริงนั้นอัลลอฮฺทรงต้องการให้บ่าวของพระองค์มีความสะดวกง่ายดาย ไม่ได้บังคับให้พวกเขาประสบกับความยากลำบาก และไม่ได้ทำให้ศาสนาของพวกเขาเป็นสิ่งที่เกินเลยขอบเขตของความสามารถ พวกเขาสามารถเรียกร้องสู่สาส์นแห่งพระองค์ด้วยกับความนอบน้อมเมตตาไม่ใช่ด้วยความบ้าคลั่ง เชิญชวนด้วยหลักการและเหตุผล มิใช่ทำอย่างคนสิ้นคิด และโต้ตอบด้วยวิธีการแห่งสันติ ประหนึ่งดำรัสแห่งอัลลอฮฺได้วางอยู่เบื้องหน้าพวกเขา “จงเรียกร้องแนวทางแห่งพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าโดยสุขุมและการตักเตือนที่ดี และจงโต้ตอบพวกเขาด้วยกับสิ่งที่ดีกว่า” (อัลนะหฺลุ / 125)

พวกเขามองดูผู้ฝ่าฝืนด้วยสายตาของหมอที่มองดูผู้ป่วยที่ต้องได้รับการเยียวยา ไม่ใช่ด้วยสายตาของตำรวจที่ต้องการตะครุบโจรผู้ร้าย ไม่กล่าวหาผู้ฝ่าฝืนว่าเป็นกาฟิร เพราะเขาเกรงกลัวว่ามันจะย้อนคืนสู่ตัวเอง และจะไม่กล่าวตำหนิผู้อื่นว่าพินาศแล้ว ไม่ใส่ไคล้ผู้อื่นแล้วแสดงตนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ดั่งพจนารถของท่านศาสดา “ผู้ที่กล่าวหาผู้อื่นว่าพินาศแล้วดังนั้นความพินาศได้ประสบกับเขา” (รายงานโดยมุสลิม)

พวกเขายอมรับความคิดของผู้อื่นโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หากมันไม่ขัดแย้งกับบทบัญญัติ พวกเขารู้จักแยกแยะระหว่างประเด็นหลักกับข้อปลีกย่อย พวกเขายืนหยัดในหน้าที่หลักอย่างหนักแน่นเหมือนดั่งแผ่นเหล็กกล้า และนุ่มนวลต่อข้อปลีกย่อยเหมือนใยไหม สามารถจำแนกและเรียงลำดับขั้นความสำคัญของงานได้อย่างชัดเจน สามารถตัดสินบ่งชี้(หู่กม)ต่อเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน แม่นยำ บอกได้ว่าคือฟัรฏู หรือสุนัต สิ่งที่หะรอมไม่ปะปนกับสิ่งที่เป็นมักรูห์ แยกบาปใหญ่ออกจากบาปเล็กได้อย่างชัดเจน สิ่งที่มีมติเห็นพ้องจากนักวิชาการว่าเป็นวาญิบ หรือ หะรอม นั้นไม่ได้เป็นเรื่องของความขัดแย้ง ส่วนที่มีหลักฐานยืนยันจากตัวบทชัดเจน แยกออกจากส่วนที่มีหลักฐานโดยการวินิจฉัยจากนักการศาสนา และพวกเขาไม่ได้กระทำตนเป็นผู้อวดรู้ หากทว่าพวกเขาจะกลับไปหาผู้ที่มีความรู้ ผู้เชี่ยวชาญเพื่อไต่ถาม และแน่นอนทีเดียวสำหรับทุกสาขาวิชานั้นย่อมมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะและมีประสบการณ์ ดังที่อายะฮฺอัลกุรอานได้บอกไว้ความว่า “และไม่มีผู้ใดแจ้งแก่พวกเจ้าได้ นอกจากพระผู้ทรงรอบรู้ตระหนักยิ่ง” (ฟาฏิร / 14) “ดังนั้นจงถามผู้รู้เกี่ยวกับพระองค์”(อัลฟุรกอน / 59) “ดังนั้นพวกเจ้าจงถามผู้รู้หากพวกเจ้าไม่รู้” (อัลนะหฺลุ / 43)

พวกเขาไม่ได้หมดเวลาไปกับการโต้เถียงเกี่ยวกับบัญญัติปลีกย่อย(คิลาฟียะฮฺ) หรือตอบโต้กันในเรื่องไร้สาระ พูดกันตั้งแต่เรื่องเลือดยุงจนกระทั่งถึงเหตุการณ์นองเลือดอย่างรุนแรงของหุซัยน์ มุ่งมั่นสร้างสรรค์ไม่ได้หมายมั่นในการทำลาย เรียกร้องสู่การรวมตัว และออกห่างสิ่งที่นำไปสู่ความแตกแยก และสัญลักษณ์แห่งคำประกาศของพวกเขาคือ “เราจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันในสิ่งที่เราเห็นพ้องกัน และเราจะอภัยซึ่งกันและกันในสิ่งที่เราขัดแย้งกัน”

พวกเขาจะไม่พูดในสิ่งที่พวกญาฮิลียะฮฺพูดกัน “โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดประทานให้แก่เราในโลกนี้เถิด และเขาจะไม่ได้รับส่วนใด ๆ ในโลกอาคีเราะฮฺ” (อัลบากอเราะฮฺ / 200) หากทว่าเขาจะกล่าวในสิ่งที่บรรดาผู้ศรัทธากล่าว “โอ้พระผู้อภิบาลของเราโปรดประทานให้แก่เราซึ่งสิ่งที่ดีงามในโลกนี้ และสิ่งที่ดีงามในอาคิเราะฮฺ และโปรดคุ้มครองพวกเราให้รอดพ้นจากการลงโทษของไฟนรกด้วยเถิด” (อัลบากอเราะฮฺ / 201) แล้วเขาจะวอนขอพรด้วยกับดุอาอฺของท่ารอซูลุลอฮฺ “โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงปรับปรุงเรื่องศาสนาของฉัน ซึ่งมันป้องกันความผิดในกิจการของฉัน และทรงปรับปรุงเรื่องดุนยาของฉัน ซึ่งมันเป็นที่พักของฉัน และทรงปรับปรุงเรื่องอาคีเราะฮฺด้วยเถิด ซึ่งฉันต้องกลับไปหามัน” (บันทึกโดยมุสลิม)

พวกเขาไม่มุ่งต่อการขัดเกลาจิตใจจนกระทั่งเฉยเมยต่อร่างกาย และเช่นกัน ไม่มุ่งแสวงหาความสุขใส่เรือนร่างจนกระทั่งลืมขัดเกลาจิตใจ สร้างความสมดุลระหว่างจิตวิญญาณกับวัตถุ รวบรวมระหว่างความรู้และอีมาน ระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและสมมุติฐาน ระหว่างสติปัญญาอันแยบแหลมกับจิตใจอันบริสุทธิ์ ยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่กับอุดมการณ์ และมีความสมดุลระหว่างการปฏิบัติหน้าที่และสิทธิ ไม่ละทิ้งเหตุการณ์ในอดีตและไม่ตัดขาดจากเหตุการณ์ปัจจุบัน ใจกว้างยอมรับการเปลี่ยนแปลงต่อวิวัฒนาการใหม่ ๆ ในสิ่งที่มีคุณค่าและยังประโยชน์

พวกเขาปฏิบัติต่อหน้าที่และสิทธิที่มีอยู่เหนือพวกเขาก่อนที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นปฏิบัติ เรื่องใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือ “อะไรคือหน้าที่ของฉัน ?” ไม่ใช่ “อะไรที่เป็นสิทธิที่ฉันพึงได้รับ?” กลางวันของพวกเขาเหมือนกับการทำงานของคนทั่วไป แต่ยามค่ำคืนพวกเขาเป็นผู้ศรัทธาคนหนึ่งที่นอบน้อมอย่างที่สุดต่อผู้อภิบาลของพวกเขา จะพบพวกเขาในตอนกลางวันเสมือนนักรบ และจะเจอพวกเขาในตอนกลางคืนในสภาพที่เหมือนนักบวช มีคุณสมบัติเฉกเช่นเดียวกับบรรดากัลยาชนในสมัยท่านรอซูลุลลอฮฺ ยึดแนวทางของชนรุ่นแรกของประวัติศาสตร์อิสลามในการประพฤติความดีงาม ไม่หยิบงานของกลางวันนำไปปฏิบัติกลางคืน หรือนำงานที่ควรทำในเวลากลางคืนมาปฏิบัติในกลางวัน ไม่ให้ความสำคัญสิ่งที่เป็นสุนัต จนกระทั่งละเลยสิ่งที่เป็นฟัรฏู หรือมุ่งเน้นแต่เพียงฟัรฏูหนึ่งแล้วละทิ้งอีกฟัรฏูหนึ่ง

พวกเขารื่นรมย์อยู่กับของฮาลาลจากสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานมา และสิ่งที่ดีงามจากปัจจัยยังชีพที่พระองค์ได้ทรงมอบให้แก่ปวงบ่าว พวกเขาท่องไปในแผ่นดินเพื่อแสวงหาความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ หากคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขาจำต้องหลับไปในสภาพที่หิวโหยท้องกิ่ว พวกเขาก็จะไม่เหล่ตาคาดหวังไปยังสิ่งที่หะรอม พวกเขามีสติปัญญาพอกับการที่จะไม่แลกซื้อไฟนรกด้วยกับอาหารเพียงหนึ่งคำหรืออารมณ์ใฝ่ต่ำเพียงชั่ววูบ และพวกเขาก็ตระหนักดีถึงผลลัพธ์ของการขายสวรรค์ชั้นบรมสุขด้วยกับปีกของยุง

กลุ่มชนผู้หันเข้าสู่อัลลอฮฺ เพื่อพร่ำขออภัยโทษ
จากคุณลักษณะต่าง ๆ ที่พวกเขาได้กล่าวไว้หมดแล้วนั้น พวกเขายังเป็นกลุ่มชนที่ “กลับเนื้อกลับตัว และพร่ำขออภัยโทษ” พวกเขาจะระมัดระวังตัวเองให้รอดพ้นจากการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอัลลอฮฺมากกว่าระวังผองภัยจากศัตรูของพระองค์และศัตรูของพวกเขาเอง พวกเขาพร่ำวอนขอต่ออัลลอฮฺเป็นนิตย์ พวกเขาเพียงพอต่อสิ่งที่ฮาลาลโดยไม่ตกอยู่ในสายธารของสิ่งที่หะรอม เพียงพอใจต่อการภักดีโดยปราศจากการดื้อดึงฝ่าฝืน พวกเขากลัวต่อการละเมิดที่จะตกผลึกอยู่ในจิตใจของพวกเขามากกว่ากลัวว่ามันจะเกิดแก่ร่างกาย เพราะการละเมิดที่เกิดขึ้นในจิตใจนั้นย่อมตกอยู่ในสภาวะที่อันตรายกว่าร่างกาย เพราะการละเมิดที่เกิดขึ้นในจิตใจนั้นย่อมตกอยู่ในสภาวะที่อันตรายกว่าร่างกาย ส่วนหนึ่ง การคิดว่าตัวเองเด่นกว่าผู้อื่น หลงตัวเอง อยากได้ชื่อเสียง โอ้อวด ชอบได้หน้า มองผู้อื่นในแง่ลบ อิจฉาริษยา อาฆาตเคียดแค้นหรืออาการอื่น ๆ ซึ่งอัลกุรอานและอัลหะดีษได้กล่าวเตือนไว้ ซึ่งท่านอีมามฆอซาลีได้ขนานนามมันว่า “สิ่งที่นำไปสู่ความหายนะ” เพราะมันจะทำให้ความประเสริฐจากการถือศีลอด ผลบุญของการละหมาดและกิยามสูญหาย และมันจะกัดเซาะความดีงามเหมือนดั่งกับไฟเผาฟืน

เป็นการเพียงพอสำหรับพวกเขาต่อการอ่านคำสอนต่าง ๆ แห่งอิสลามอย่างใคร่ครวญ ดังต่อไปนี้ “ผู้ใดที่หัวใจของพวกเขามีเพียงอณูหนึ่งของความโอ้อวด เขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์” (บันทึกโดย มุสลิม) “บุคคลสามจำพวกที่ล่มสลาย คือ ผู้ที่ยอมจำนนต่อความตระหนี่ ผู้ที่ยอมคล้อยตามอารมณ์ของตนเอง และผู้ที่หลงตัวเอง” “แท้จริงเศษเสี้ยวของความโอ้อวด คือ ชิริก” “โรคของประชาชาติที่มาก่อนพวกท่านจะคืบคลานมาหาพวกท่านอย่างช้า ๆ (คือ) อิจฉาริษยา , การอาฆาตเคียดแค้น , ความอาฆาตเคียดแค้นนั้นเหมือนดั่งกับการโกนศีรษะ ...ฉันมิได้กล่าวว่า เป็นการโกนผมออกจากศีรษะ หากแต่ทว่า มันเป็นการตัดออกจากศาสนา” “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงปลีกตัวออกห่างให้หลุดพ้นจากส่วนหนึ่งของการสงสัย แท้จริงการสงสัยนั้นเป็นบาป” (อัลหุญูรอต / 12)

นี่คือจุดยืนของพวกเขาที่มีต่อการฝ่าฝืนละเมิด แท้จริงพวกเขาจะหวาดกลัวมัน จะนำตัวออกห่างจากประตูที่นำไปสู่การละเมิดและห่างจากเส้นทางที่นำไปใกล้ชิดมัน ปิดกั้นในสิ่งที่ก่อให้เกิดความฝ่าฝืน ออกห่างจากฟิตนะฮฺ ปกป้องตนเองจากสิ่งเคลือบแคลงสงสัย ดังนั้นศาสนาและเกียรติของพวกเขาก็จะรอดพ้นจากข้อสงสัย พวกเขาเป็นสิ่งทีชีวิตที่มาจากลูกหลานนบีอาดัม ซึ่งอัลลอฮฺได้ตรัสไว้ความว่า “และโดยแน่นอนเราให้คำมั่นสัญญาแห่อาดัมแต่กาลก่อนแต่เขาได้ลืมมัน และเราไม่พบความมั่นใจอดทนอันใดในตัวเขา” (ฏอฮา / 115)

พวกเขาไม่ใช่บรรดามลาอิกะฮฺผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่บรรดานบีที่รอดพ้นจากความผิด แท้จริงพวกเขาเสมอเหมือนกับลูกหลานนบีอาดัมคนอื่น ๆ ซึ่งย่อมที่จะมีความผิดพลาด แต่ทว่าพวกเขารีบเร่งหนีห่างจากธรณีสูบ และมุ่งหน้าสู่อัลลอฮฺในสภาพที่กลับเนื้อกลับตัว ขออภัยโทษเสมือนบรรดาผู้ที่มีความตักวาอภัยยำเกรง “เมื่อมีคำชี้นำใด ๆ จากชัยฏอนมาประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็สำนึกได้ และทันใดนั้นพวกเขาก็มองเห็น” (อัลอะอฺรอฟ / 210) พวกเขารำลึกถึงสัญญาของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขา “โอ้ลูกหลานอาดัมเอ๋ย พวกเจ้าอย่าได้เคารพบูชาชัยฏอนมารร้าย แท้จริงมันเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเจ้า และพวกเจ้าจงเคารพภักดีต่อฉัน นี่คือแนวทางที่เที่ยงตรง” (ยาซีน / 60-61) รำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขา และพันธะสัญญาที่พวกเขามีต่อพระองค์เมื่อพวกเขากล่าวว่า “เราได้ยินแล้ว และเราได้ปฏิบัติแล้ว” (อันนูร / 51) รำลึกถึงพันธะสัญญาของอัลลอฮฺในครั้งอดีต และการเฝ้าติดตามของพระองค์ในปัจจุบัน รวมทั้งการสอบาวนของพระองค์ในอาคีเราะฮฺ ดังนั้นพวกเขาจะมองเห็นสิ่งที่ซ่อนเร้น เมื่อวันหนึ่งร่างกายต้องพ่ายแพ้จิตวิญญาณ พลังศาสนาต้องอ่อนแอต่ออำนาจของอารมณ์ พวกเขาจะไม่ยอมจำนนต่อชัยฏอนและพลพรรคของมันอย่างเด็ดขาด หากทว่าพวกเขาจะกล่าวอย่างที่บรรพบุรุษของเขา อาดัมและเฮาวาอฺเคยกล่าว “โอ้พระผู้อภิบาลของเรา เราได้อธรรมต่อตัวเราเอง และหากพระองค์ไม่ทรงอภัยโทษให้แก่เรา และไม่ทรงเอ็นดูเรา เมตตาเราแล้ว แน่นอนเราต้องตกอยู่ในหมู่ผู้ที่ขาดทุน” (อัลอะรอฟ / 23) นี่คือคุณลักษณะของพวกเขา แท้จริงพวกเขา “เมื่อพวกเขากระทำสิ่งชั่วใด ๆ หรืออยุติธรรมแก่ตัวเองแล้วพวกเขาก็รำลึกถึงอัลลอฮฺ แล้วขออภัยโทษต่อความผิดต่าง ๆ ของพวกเขา และใครเล่าที่จะอภัยโทษต่อความผิดทั้งหลายให้ได้นอกจากอัลลอฮฺ ณ พวกเขาไม่ได้ดื้อรั้น ปฏิบัติในสิ่งที่พวกเขาเคยปฏิบัติมา โดยที่พวกเขารู้กันอยู่” (อาละอิมรอน / 135)

พวกเขาจะพิจารณาใคร่ครวญ และชุกูรต่อความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่ประทานมาให้แก่พวกเขาอย่างมากมายเหลือคณานับ พระองค์คือผู้ที่ร่ำรวยยิ่ง ณ ที่พวกเขา พวกเขาจะไม่นำเสนอการงานที่บกพร่องหรือการละเมิดของพวกเขาต่ออัลลอฮฺ เพราะพวกเขาคือบรรดาผู้ที่ยากจนยิ่ง ณ ที่อัลลอฮฺ ดังนั้นพวกเขาจะสำนึกตนอยู่ตลอดเวลาว่าพวกเขาบกพร่องต่อสิทธิที่พึงมีต่อพระองค์ ตระหนักถึงหน้าที่ของพวกเขาที่พึงมีต่อพระองค์ ดังนั้นพวกเขาจึงขอพวกในสิ่งที่ซุลนูน-นบียูนุสวิงวอนขอในขณะที่อยู่ในความมืดบอดสนิทว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่เที่ยงแท้นอกจากพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์เป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้อธรรมทั้งหลาย” (อัลอัมบิยาอฺ/87) ลิ้นของพวกเขาจะเปียกชุ่มอยู่เสมอด้วยกับการพร่ำวอนขออภัยโทษต่อพระองค์และกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลาในการที่จะกลับตัวเข้าหาพระองค์ จะร้องขอดุอาอฺด้วยกับบทดุอาอฺเดียวกันกับที่บรรดาผู้ใช้สติปัญญาใคร่ครวญร้องขอ “โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดทรงอภัยโทษแก่เรา แท้จริงเราได้ยินผู้ประกาศเชิญชวนผู้หนึ่งกำลังประกาศเชิญชวนให้มีการศรัทธา ว่า ท่านทั้งหลายจงศรัทธาต่อพระองค์ของพวกเจ้าเถิด และพวกเราก็ศรัทธากัน โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดทรงอภัยโทษให้แก่เรา จากโทษทั้งหลายของพวกเรา และโปรดลบล้างความผิดบาปให้พ้นจากพวกเราและโปรดให้เราสิ้นชีวิตโดยอยู่ร่วมกับบรรดาคนดี ๆ ทั้งหลายด้วยเถิด” (อาละอิมรอน / 193)

บทส่งท้าย - ชนในยุคแห่งชัยชนะ

โอ้ชนในยุคแห่งชัยชนะ


พวกท่านคือกลุ่มชนที่โลกกำลังรอคอยคือกลุ่มชนที่เรากำลังตั้งตารอคอยและเพรียกหา และประชาชาติทั้งหลายก็กำลังรอคอยอยู่พร้อมกับเรา จากจากาตาร์ถึงริบาฏในโมร็อคโค ซึ่งเราได้ทุ่มเททุกความพยายามเพื่อจะสถาปนาชนกลุ่มนี้มา และเราพยายามที่จะเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ในหัวใจของเราเพื่อพวกเขา พวกเขาได้ทุ่มเททุกขุมกำลังทั้งภายนอกและภายในเพื่อต่อสู้กับศัตรูอิสลามที่ต้องการกำจัดพวกเขาให้แท้งก่อนกำหนด สกัดกั้นฝังหรือแม้แต่ทั้งเป็นก่อนอุบัติขึ้น หากเหนื่อยล้าจากเรื่องราวเหล่านั้น ศัตรูอิสลามก็ได้พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้ชนกลุ่มนี้หลงประเด็นจากเป้าหมายที่สูงส่งเพื่อเบือนสู่เป้าหมายอันหลอกลวง ให้จมปลักอยู่กับเรื่องเล็ก ๆ จนกระทั่งลืมเรื่องใหญ่ ให้พวกเขาก้าวเดินอย่างช้า ๆ โดยเอากำแพงของความน่าหวาดกลัวมาขวางกั้นทางเดิน ยุแหย่ให้ทะเลาะเบาะแว้งกันเองแทนที่จะได้สู้รบปรบมือกับพวกมัน เวลาทั้งหลายหมดไปกับการโต้เถียงขัดแย้งแลปัจจัยรายล้อมอื่น ๆ ที่เป็นสาเหตุของความเดือดร้อนโกลาหล (ฟิตนะฮฺ) และกลอุบายล่อลองต่าง ๆ ที่งัดแงะอกมาเพื่อให้พวกเขาหลงลืมต่อแผนการต่าง ๆ ที่ได้วางไว้

ชนกลุ่มนี้กับการสร้างพวกเขาสิ่งจำเป็นประการแรกคือ การเคลื่อนไหวเพื่ออิสลามในยุคปัจจุบัน เหมือนที่มีความจำเป็นต่อนักเผยแพร่ บรรดานักคิด นักวิชาการ และบรรดาผู้อบรมสั่งสอน(มูร็อบบีย์) จะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการเตรียมการเป็นอย่างดี และการตัรบียะฮฺที่ครอบคลุมทางด้านจิตวิญญาณและเรือนร่าง สติปัญญา จรรยามารยาท สังคม และการเมือง เริ่มกระทำจากการปกป้องตนเองเป็นประการแรกเพื่อไม่ให้ก่อเกิดการกัดกินของสนิมภายใน ต่อจากนั้นปกป้องเล่ห์อุบายของศัตรูและความโฉดเขลาของเพื่อนพ้อง

พวกเขาเป็นกลุ่มที่พระองค์อัลลอฮฺทรงปกปักษ์รักษาไว้เพื่อที่จะแบกจิตวิญญาณ อุดมการณ์ของท่านอบูบักรในการยืนหยัดเพื่อเผชิญหน้ากับมุรตัด ดั่งที่พระองค์ได้บอกถึงคุณลักษณะของพวกเขาไว้ “บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกจากศาสนาของพวกเขาไป อัลลอฮฺก็จะทรงนำมาซึ่งพวกหนึ่งที่พระองค์ทรงรักพวกเขา และพวกเขาก็รักพระองค์ เป็นผู้นอบน้อมถ่อมตนต่อมุมิน ไว้เกียรติแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา พวกเขาจะเสียสละและต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ และไม่กลัวการตำหนิของบรรดาผู้ตำหนิ นั่นคือความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ซึ่งพระองค์ทรงประทานมันแก่บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงกว้างขวาง ผู้ทรงรอบรู้”( อัลมาอิดะฮฺ / 54)

ชนกลุ่มที่โลกกำลังรอคอย คือ “ชนในยุคแห่งชัยชนะ” เป็นผู้ที่จะมาปลดปล่อยปาเลสไตน์ อัฟกานิสถาน เอริธีเรีย ฟิลิปปินส์ บุคอรอและสมัรค็อนดฺ ด้วยน้ำมือของพวกเขา และร่วมขจัดความสกปรกโสมม จากสิ่งที่ถูกกราบไหว้อื่นจากอัลลอฮฺ ขจัดความชั่วสามานย์ให้หมดไปจากแผ่นดิน กลุ่มชนผู้เชิดชูร่มธงแห่งอัลลอฮฺให้สะบัด ปลิวไสวอยู่บนหน้าผืนพิภพของพระองค์ เอาศาสนาของพระผู้สร้างนำทางดุนยาที่ถูกสร้าง จุดประกายรัศมีจากฟากฟ้านำมาสอดส่องความมืดมนบนหน้าแผ่นดิน

กลุ่มชนผู้ที่สมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ ดำเนินชีวิตภายใต้อ้อมกอดของบรรดามลาอีกะฮฺ ทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่บนผืนโลกจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่พวกเขา เพื่อให้พวกเขาได้รับชัยชนะแม้กระทั่งก้อนหินและต้นไม้จะพูดกับเขาว่า “โอ้อับดุลลอฮฺ โอ้มุสลิม นี่ศัตรูของท่านหลบอยู่ข้างหลังฉัน มาเถิดมาสังหารพวกเขาเสีย”

และคำเรียกร้องเชิญชวนในวันนี้ฝากถึงคนหนุ่มสาวแห่งอิสลาม ขอให้พวกเขาก้าวผ่านยุคของความอ่อนแอ ความไร้ซึ่งสารัตถะของชีวิต ก้าวกระโดดสู่ยุคของความเข้มแข็ง ยุคแห่งความสร้างสรรค์ พวกเขาจะต้องเข้าร่วมในการขับเคลื่อนร่วมกับกลุ่มชนแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่โลกทั้งใบกำลังเฝ้ารออยู่ การปรากฎขึ้นของพวกเขาจะนำมาซึ่งความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺในทุกประชาชาติแห่งอิสลาม จะประจักการทุ่มเทพยายามของคนดี คนที่ซื่อสัตย์จะไม่ขาดหล่นสูญหายแต่ประการใด “และใช่ว่าอัลลอฮฺนั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญหายไปก็หาไม่ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงกรุณาปราณีผู้ทรงเมตตาแก่มวลมนุษย์เสมอ” (อัลบากอเราะฮฺ / 143)

ส่วนผู้ที่พึงพอใจที่จะเลือกนิ่งเฉยพร้อมกับบรรดาผู้ที่มีความเฉยเมย พร้อมกับบรรดาผู้ที่หลงลืม หรือใช้ชีวิตร่วมกับบรรดาผู้ที่ละเมิดฝ่าฝืน ดังนั้นสมควเขาจะตกเป็นผู้ขาดทุน โดยมอบพละกำลังทั้งหมดให้กับชัยฏอนมารร้าย และเขาผู้นั้นก็สมควรยิ่งที่จะได้รับความกริ้วโกรธจากอัลลอฮฺ และสร้างความปีติยินดีให้กับศัตรูผู้โอหัง และจะทำให้การค้าของพวกเขาขาดทุนอย่างมหาศาล ทั้งดุนยาและอาคิเราะฮฺ

“จงร่ำร้องให้แก่ตัวเองเถิด สำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตของเขาสูญหายไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาจะไม่ได้รับส่วนแบ่งหรือการแบ่งปันแต่ประการใด”