เป็นบ่าวของอัลลอฮฺกันเถิด

บทนำ

ความคิดเป็นสิ่งที่มีค่า ปัญญาเป็นหนทางสู่การค้นหาสัจธรรม แต่ความคิดและปัญญาก็หาได้มีประโยชน์อันใดไม่ ถ้าปราศจากจุดหมายในการค้นหา

มวลสรรพสิ่งทั้งหลายมากมายในพื้นพิภพนี้คือเครื่องหมายแห่งอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า เฉกเช่นเดียวกับมหาคัมภีร์อัลกุรฺอานที่เพียบพร้อมด้วยวิทยปัญญาเพื่อการค้นหาสัจธรรม ภายในตัวของมนุษย์ และรอบๆ ตัวของเขา ถ้าพินิจใคร่ครวญดูให้ดี ล้วนแล้วเป็นกุญแจไขสู่การยอมรับถึงอำนาจแห่งองค์อภิบาลทั้งสิ้น


“เป็นบ่าวของอัลลอฮฺกันเถิด” คือผลลัพธ์จากการใช้ความคิดและปัญญาส่วนหนึ่งอันน้อยนิดสุ่มเสี่ยงค้นหาความจริงบางอย่างที่ดวงใจถวิลหา เป็นผลที่เกิดจากการสันดาปของความรู้สึกจริง ในบางครั้งบางโอกาสที่ความคิดเข้ามาครอบงำ


ข้าพเจ้าเชื่อว่า เราทุกคนสามารถที่จะค้นหาผลลัพธ์เช่นนี้ได้ และอาจจะค้นพบอะไรมากมายกว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าค้นพบหลายเท่านัก ถ้าหากรู้จักปล่อยให้ความคิดได้โบยบินเข้าหาจุดหมาย โดยมีวิทยปัญญาแห่งมหาคัมภีร์และเครื่องหมายแห่งอำนาจของผู้อภิบาลเป็นเครื่องนำทาง


ขออัลลอฮฺประทานพรและความสุขสมทั้งในโลกนี้และโลกหน้า


ผู้เขียน

 


ติดตามอ่านเนื้อหาทุกบทได้จากลิงก์หัวข้อสารบัญด้านล่าง


คำวอนของคนลืมรัก

มนุษย์รู้ตัวไหมว่า ตัวเองมีความรู้สึกหนึ่งที่เป็นอมตะ นั่นคือการรักผู้ให้ รักผู้ที่ทำดีกับตน ผู้ที่หวังดีและคอยเอาใจใส่ ตลอดจนเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนปรารถนาให้ ความรู้สึกอันงดงามที่หลายครั้งเรามองข้ามมันไป ใครที่เรารักมากที่สุดและใครที่รักเรามากที่สุด ผู้ใดที่เราคิดอยากเจอเขามากที่สุดทุกลมหายใจ?

อย่าเพิ่งตอบ ก่อนที่จะมองรอบๆ ตัวเอง และเพ่งดูสรรพสิ่งเล็กๆ ด้วยใจจดจ้อง
 
คิด… ผู้ใดประทานดวงตาให้ข้าได้มองเห็นสีสันอันงดงามบนโลกนี้ ผู้ใดสร้างหูให้ข้าได้ยินเสียงบรรเลงอันไพเราะของวิหคน้อย ลิ้นมันทำด้วยสิ่งใดไฉนจึงร้องได้เสนาะหูนัก
 
คิด… มือไม้ของข้าขยับเขยื้อน จมูกของข้าก็ดมกลิ่น ข้ามีสมองที่ใช้คิด ใช้ฝัน ใช้กำหนดจินตนาการ ข้าเห็นดวงอาทิตย์ส่องแสงประกาย ข้าเห็นต้นไม้มีใบสีเขียว ดอกมันบานสะพรั่งเต็มต้น ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายในอากาศด้วยลมที่หอบพัด ดูท้องฟ้าสีครามนั่น ดูแม่น้ำที่ไหลเอื่อย
 
พระเจ้า ! … พระองค์สร้างมันขึ้นมาได้เช่นไรกัน …?
 
ทุกสิ่งที่ข้าพระองค์เห็น ทุกอย่างที่ข้าพระองค์รู้ ทั้งหมดเป็นของพระองค์ ตัวข้าพระองค์ก็เป็นของพระองค์ ตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งกายใจและความรู้สึกนึกคิด มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ข้าพระองค์รู้ว่า ไม่มีใครอื่นอีกที่ทรงอำนาจ มีพลังและทรงเกรียงไกร
 
มนุษย์เอ๋ย .. ช่างน่าอายนัก ทำไมข้าลืม ทำไมข้าเผลอ ทำไมข้าไม่นึกว่าข้ารักพระองค์ โอ้ ผู้อภิบาลชั้นฟ้า โอ้ ผู้ที่ดวงดาวในจักรวาลต่างสดุดีสรรเสริญ โอ้ ผู้กำหนดนรกและสวรรค์ ข้าพระองค์ขอโทษ …
 
ทุกครั้งที่นึกถึงความจริงเช่นนี้ ความละอายเกือบจะละลายเป็นสายน้ำอาบแก้ม ทำไมหนอผู้อ้างตนว่ารักองค์อัลลอฮฺสุดหัวใจ เคยบ้างไหม สะดวกใจลุกขึ้นมากลางดึกเพื่อซบหน้าลงตรงหน้าพระพักตร์อันสูงส่ง พระพักตร์อันงดงาม ที่ผู้เป็นมุอ์มินเท่านั้นจะได้เห็น ในวันที่พระองค์ทรงอนุญาต ในสวรรค์ ในที่ที่มีแต่ความสุข
 
และความสุขสุดยอดที่สุดในสวรรค์ คือการได้เห็นพระเจ้าของพวกเขา พระเจ้าของเรา ผู้เป็นองค์อภิบาลโลกนี้ ผู้ทรงประทานให้มีฟ้าคุ้มหัว ผู้สร้างแผ่นดินให้เราเหยียบ ผู้หลั่งฝนให้เราชุ่มชื้น ผู้ปลุกชีวิตให้งอกออกมาจากพื้นธรณี ผู้ขีดให้สายน้ำไหล ผู้สร้างสรรพสัตว์
 
องค์อัลลอฮฺผู้ทรงกล่าวแก่มนุษย์ว่า
 
"จงบอกแก่บ่าวของข้าว่า แท้จริงข้าเป็นผู้อภัยและเมตตานัก และแท้จริงการทรมานของข้าคือการทรมานที่แสนเจ็บปวด" (ความหมายจากสูเราะฮฺ อัล-หิจญ์รฺ อายะฮฺที่ 49-50)
 
ใช่แล้ว พระองค์คือผู้ทรงเมตตา เพราะพระองค์มิทรงเคยทอดทิ้งบ่าว แม้จะทำบาปต่อพระองค์เต็มฟ้า
 
บางครั้งก็ฉงนใจว่า ทำไมพระองค์ยังทรงให้ ทั้งๆ ที่ใจของบ่าวยังไม่คิดเลิกจะทำผิด ทั้งๆ ที่ยังขี้เกียจและคร้านจะทำดี ทีอย่างอื่นทำไมเวลาชอบทั้งหลงทั้งรัก ทำไมกับพระองค์จึงไม่คิดจะหลงรักให้หมดใจบ้าง
 
หรือนี่ใช่เป็นการลงโทษ ให้บ่าวเผลอตลอดชีวิต ให้บ่าวลืมว่ามีพระองค์ผู้เดียวที่ควรแก่การรักและมอบใจ หรือนี่คือการบอกเป็นนัยว่า บ่าวได้ใช้สิทธิแห่งความสุขบนโลกนี้แล้ว มันหมด หมดจนไม่มีสิทธินั้นอีกในสวรรค์
 
โอ้ผู้เป็นเจ้า ได้โปรดชี้ให้ข้าพระองค์สำนึก ได้โปรดทำให้ข้าพระองค์คิดได้ ว่ามีอีกความสุขหนึ่งที่ข้าพระองค์รอคอย …
 
ได้โปรด… ขอข้าพระองค์ได้ยลโฉมพระพักตร์ของพระองค์ด้วยเถิด !
 

เป็นบ่าวของอัลลอฮฺกันเถิด

มีอะไรที่ทำให้มนุษย์ผู้มีสติสัมปชัญญะคนหนึ่งต้องคับอกคับใจ มากไปกว่าการที่เขานึกถึงความผิดและบาปที่ได้ทำไว้ วิถีมนุษย์ถูกทดสอบให้ต้องทำผิด เพื่อส่อให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของความอ่อนแอและความบกพร่องในตัวเอง สรรพสิ่งที่ถูกสร้างไม่มีอันใดเลยเพียบพร้อมสมบูรณ์ ที่สุดของความบริสุทธิ์เป็นเพียงเอกสิทธิแห่งอัลลอฮฺเพียงผู้เดียว

ตั้งแต่จำความได้ เราลองนึกดูว่า บัดนี้ผิดและบาปที่สะสมมาน่าจะถมทับสูงเลยหัวเราแค่ไหนแล้ว อนิจจา ความหลงลืมของเรามีมากกว่าช่วงเวลาที่ใจและอีมานอยู่กับเนื้อกับตัวเสียอีก
 
เช่นนี้แล้ว ผู้คนสูใดเล่าจะยังสามารถนึกถึงบาปของตัวเองได้อีก บาปที่มือเราทำ ความผิดที่เท้าก้าวเข้าไปหา สองตาที่ดูอย่างไม่แยแส หูก็กางกว้างรับทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงบั้นปลายของผลแห่งการกระทำ
 
ที่ร้ายที่สุดของทั้งหมดก็คือลิ้นที่เราจับมันไม่อยู่ แต่เราถือมันเดินเหยียบหัวผู้อื่นทุกหัวเช้าแลพลบค่ำ เสมือนหนึ่งว่า ตนเองเป็นคนปลอดบาป ไฟนรกไม่รับทรมาน .. ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ !
 
มนุษย์ผู้มีหัวใจเอ๋ย ก้มลงขอบคุณพระเจ้าเถิดที่เจ้ายังมีชีวิต ได้มาคิดถึงความชั่วของตัวเอง ร่างกายอันบอบบางของเจ้า หากแม้นไม่มีการอภัยโทษจากองค์อภิบาล แน่แท้เจ้าคงต้องโดนไฟเผาจนเนื้อไหม้กลายเป็นหนอง ปวดแสบปวดร้อนไม่มีที่สิ้นสุดตลอดกาล
 
โอ้ องค์ผู้ทรงรักการอภัย ผู้ทรงเมตตานัก ไยบ่าวของพระองค์ไม่เคยนึกเบื่อที่จะทำบาปหนอ ? พวกเขาไม่รู้หรอกหรือว่า แผ่นดินที่พวกเขาใช้เหยียบอยู่นั้นจะเปิดอ้าแล้วกลืนพวกเขาลงไปเมื่อใดก็ได้ หรือพวกเขาไม่เห็นฟ้าเบื้องบนนั่น มันพร้อมที่จะหล่นทับหัวได้ทุกชั่วขณะที่พระองค์ประสงค์เลยทีเดียว
 
หรือมนุษย์รู้ว่าความปรานีของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่นัก ความกว้างขวางในการอภัยโทษของพระองค์ทำให้พวกเขาชะล่าใจ กล้าทำผิดต่อไปไม่ยอมหยุด
 
ใครว่าใจมนุษย์นั้นถ้าแข็งแล้วจะแข็งปานหิน ที่ไหนได้ แท้จริงแล้ว ความแข็งของหินยังมิอาจพอที่จะเอามาเปรียบเทียบกับความดื้อรั้นของมนุษย์ได้เลย
 
หยุดเถิด ! ปวงชนผู้มีอีมานทั้งหลาย หยุดป้ายสีหัวใจตัวเองให้ดำทมิฬจนไร้ที่สำหรับความบริสุทธิ์เสียที
 
มาเป็นบ่าวของอัลลอฮกันเถิด มามอบตัวกับพระองค์ ก่อนที่ทูตแห่งความตายจะมาเยือนที่หัวกระไดบ้าน
 
แตกซะเถิดหัวใจที่แข็งดั่งหิน แตกให้น้ำใสในเบ้าตาออกมาไหลรินอาบแก้มอันสง่างามของเจ้า ชะล้างความหม่นหมองที่น่ากลัวให้หมดไป มาเป็นบ่าวของอัลลอฮกันเถิด มาสร้างตนให้เข้มแข็ง หรือจะยอมเป็นคนอ่อนแอ และตกลงจะเป็นทาสของตัณหาส่วนลึกที่โสมมไปตลอดชีวิตกระนั้นหรือ?
 
เพื่อนพี่น้องที่รัก ถ้าเพียงเรารู้ว่าอัลลอฮทรงรักเราเพียงใด เราคงจะไม่อ่อนแอถึงเพียงนี้ เพราะอำนาจแห่งพลังของอัลลอฮ จะทำให้เราสำนึกตัวและยับยั้งตนได้เสมอ ถ้าเพียงเรารู้ว่าพระองค์เอาจริงกับการลงโทษคนผิดเพียงใด และถ้าเพียงเรารู้ว่าพระองค์ทรงเมตตาเพียงใดกับผู้ที่ยอมกลับตน ยังไม่สายเกินไปใช่ไหมที่เราจะยกมือยอมตอบรับคำเชิญนี้
 
มาเป็นบ่าวของอัลลอฮกันเถิด !
 

 

มีชีวิตเป็นปุถุชน

ถ้าชอบที่จะคิดและสังเกต ทุกครั้งที่ออกไปเจอผู้คนมากมายในสังคม จะทำให้รู้ว่าอันใดคือความหมายของวิถีชีวิตมนุษย์ ที่ถือเป็นที่สุดของความจริง พูดลึกให้ถูกอีกนิดหนึ่งก็น่าจะได้ว่า นี่คือการเรียนรู้จากคนอื่น เพื่อเอามาใช้กับตัวเองให้ได้สำนึกว่า ที่แท้ตัวเองก็เป็นคน

เป็นคน ที่มีอารมณ์หลากหลาย สลับเปลี่ยนหมุนเวียนไปไม่หมด ทั้งสุข ทุกข์ โกรธ และยินดี ... เป็นคน ที่สัญชาติดั้งเดิมมีนิสัยของการรักตัวเอง เข้าข้างตัวเอง และมองว่าตัวเองว่าผิดเป็นได้น้อยเหลือเกิน ... เป็นคน ที่มีความสุข ด้วยความรัก ความเข้าใจ และไมตรี ที่ผองเพื่อนมอบให้
 
คนธรรมดา คือ คนที่ผ่านวัยของการเจริญเติบโตมาหมดด้วยวิถีของคน เคยเป็นทารกที่ดูดนม เคยเป็นเด็กที่วิ่งเล่น เคยเป็นหนุ่มสาวที่น่ารักสดใส และโตเป็นผู้ใหญ่ทำงานสร้างครอบครัว สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นคนเฒ่าคนแก่ของลูกหลาน จนชีวิตจบลงด้วยการกลับไปหาที่หลับนอนในหลุมฝังศพอันเงียบเหงา
 
ปุถุชนธรรมดา ถ้าคิดถึงตัวเองเช่นนี้ มีไหมหนอที่จะถือตัว ทำตนยโสโอหัง กับคนที่เป็นปุถุชนอีกคนหนึ่ง
 
จะทำอย่างไรให้ตัวเองนึกได้เสมอว่า ตัวเองก็เป็นคนเหมือนที่คนอื่นๆ ก็เป็นคน จะคิดดูถูก จะพูดถากถาง จะทำร้ายให้เจ็บ หยุดคิดชั่วครู่ แล้วดูตัวเองว่า ถ้าให้ลองเปลี่ยนข้างเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำบ้าง จะยอมได้ไหม?
 
วิถีแห่งปุถุชน ถ้ารู้ว่าความสุขใจคือสิ่งที่ตนตีค่าและให้ความสำคัญมากที่สุด ไยต้องสร้างความทุกข์ให้คนอื่นด้วย ..?
 
โลกคือสถานที่แห่งการทดสอบ มีผู้อาศัยเป็นพันล้าน ถ้าคนทั้งหมดอยู่กันได้ โดยไม่ถือว่าโลกเป็นสนามแห่งการประลอง เพื่อนพี่น้องไม่ใช่เครื่องมือของการหากิน สรรพชีวิตไม่ใช่เหยื่อของความอยาก โลกก็คงจะไม่กลายเป็นที่แห่งการแก่งแย่งจนดูน่าขยะแขยงเช่นนี้ ..
 
ทำไมไม่มีใครอยากจะมีชีวิตเป็นคนธรรมดา เป็นปุถุชนที่เดินดิน เป็นคนที่รักความง่าย เข้าใจคนอื่น รู้จักความรัก ไม่โลภ ไม่หยิ่งผยอง มีมารยาท พูดเพราะเสนาะหู มีสำนึก รู้จักให้ เกรงใจคนอื่น คิดอยู่เรื่อยว่าจะทำให้โลกดูสวยอยู่เสมอ
 
น่าเสียดายที่คนหลายคนมองเห็นเพียงแค่ตัวเอง คนอื่นในโลกจึงไม่มีใครที่ดี ที่ถูก และน่าชมเชยนอกจากคนที่ตัวเองมองว่าเป็นพวก ความทุกข์ของคนอื่น ความไม่สุขใจของเพื่อนร่วมโลก ถ้าหากจะรู้สึกบ้างก็เป็นตอนที่มันเกิดขึ้นกับตัวเองเท่านั้น
 
มีคนกี่คนที่กล้ารับรองว่าอีกหลายเรื่องราวของชีวิตเป็นสิ่งที่ตนรู้และเข้าใจได้หมดแล้ว ถ้ารู้ตัวอยู่ว่ามีบทบาทและเหตุการณ์อีกหลายประการที่ตนยังเขลาและรู้ไม่ถึงเท่าผู้อื่น แค่เพียงลดความรู้สึกเก่ง แล้วยอมแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนมีกับสิ่งที่คนอื่นมี ด้วยท่าทีแสดงออกว่าจริงใจ ง่ายๆ ไม่ต้องตกแต่ง แค่นี้ ยังสร้างความสุขไม่ได้ ยังเพิ่มความน่าอยู่ให้กับโลกไม่ได้เชียวหรือ ?
 
เป็นเพียงแค่คน ไยต้องทำตนสูงเทียมฟ้า ไยไม่นึกว่าตัวเองเป็นดิน ... ธาตุที่เป็นต้นกำเนิดของคุณค่าทั้งมวล ...

 

เพราะมีชีวิตเป็นคน จึงต้องเรียนรู้วิถีแห่งปุถุชน ! 

 

ความเงียบให้ชีวิต

โลกมีอายุนานเท่าใดแล้ว ใครรู้บ้าง? บางสิ่งบางอย่างในโลกใช่จำเป็นว่าเราต้องรู้เสมอไป โลกของแต่ละคนมีอายุเท่าชีวิตของคนผู้นั้น ก่อนการมีชีวิตและหลังจากความตายเรียกไม่ได้ว่าเป็นชีวิตโลก

ชีวิตโลกนั้นแสนสั้น กระนั้นก็เต็มไปด้วยสีสันและแสงเสียง เป็นวัฒนธรรม อารยธรรม หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ สำคัญคือมนุษย์เป็นผู้รังสรรค์มันขึ้น เพื่อเพิ่มความวุ่นวายให้กับชีวิต
 
เพราะไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่ชอบความว่างเปล่า เพราะเวลาทุกวินาทีมีการเคลื่อนไหว ชีวิตจึงต้องหาอะไรมารองรับความไม่ว่างและการไม่หยุดนิ่งของลมหายใจ นาทีแรกที่เกิด มนุษย์รู้จักการร้องไห้ เป็นธรรมชาติของการดิ้นรนชนิดหนึ่ง
 
โลกนี้สอนให้เราต้องขวนขวายและค้นหา เพื่อสิ่งใดหรือ … เพื่อเพิ่มความวุ่นวาย ความเรื่องมาก ความเหนื่อย การต้องคิดให้หนักสมอง ฯลฯ ให้สูงขึ้นอีกระดับหนึ่งกระมัง
 
ตั้งแต่เช้าขึ้นมา มนุษย์ตื่นขึ้นมาพร้อมการเตรียมตัวที่จะออกไปแข่งขัน เร่งฝีเท้าเพื่อฉกฉวยโอกาสของแต่ละคนให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่มือและเท้าสามารถหยิบหาได้
 
ชีวิตที่ไม่ยอมหยุด เสมือนศาสตร์ที่แตกย่อยเป็นสาขาไปอีกหลายแขนง กลายเป็นว่าทำงานไม่ยอมหยุด คิดไม่หยุด ดูไม่หยุด ฟังไม่หยุด ที่ร้ายที่สุดคือพูดไม่หยุดและอีกหลายๆ อย่างที่ยังไม่ยอมหยุด คงรอที่จะหยุดเมื่อถึงคราวหนึ่ง หรืออาจจะต้องหยุดแบบสะดุดกระทันหันเมื่อคราวนั้นมาถึง
 
ไม่เป็นสิ่งที่ผิดถ้าเราจะไม่หยุดทำ ถ้าสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ดี กลับเป็นซึ่งคุณค่าของคนผู้หนึ่งถ้าเขารู้จักทำและไม่หยุดทำเพื่อคุณประโยชน์ของมวลชน เพียงแต่หากการไม่หยุดเป็นผลไม่ดี ก็ควรต้องไม่ทำ
 
หากชีวิตมีเพียงสองด้านคือได้กับเสีย การทำที่ไม่ได้อะไรก็ย่อมเท่ากับเสีย ดังนั้นถ้าทำดีไม่ได้ก็หยุดอยู่เฉยๆ ถ้าพูดดีไม่ได้ก็อย่าพูดเสีย หรือถ้าคิดดีไม่เป็นก็อย่าคิดอย่างอื่น ผู้ใดในหมู่พวกท่านที่ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าและโลกหน้า ก็จงกล่าวแต่สิ่งที่ดีหรือไม่ก็จงเงียบเสีย (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์และมุสลิม ดูญามิอฺ อัล-อุลูม วะ อัล-หิกัม หะดีษฺที่ 15)
 
บางทีความเงียบและการหยุดก็สำคัญสำหรับชีวิต เพราะช่วงเวลาแห่งความเงียบคือการทบทวน เป็นการประมวลกิจกรรมทั้งหมดที่ต้องทำ เป็นการสร้างพลังเพราะได้พักผ่อน หรือไม่ก็เป็นการสร้างสำนึกให้เข้มแข็งขึ้น ว่าจะทำแต่สิ่งที่ดี
 
ในโลกของคนที่พูดมากขึ้น สื่อสารกันเร็วขึ้น ลองใช้ความเงียบเป็นเครื่องมือทำให้ใจนิ่งเฉย แล้วบางทีเราอาจจะพบว่าโลกของการพูดมากวุ่นวายเพียงใด
 
ที่สำคัญ บางครั้งเราพบว่าความเงียบต่างหากที่ให้ชีวิต เพราะมันสะกิดให้เราคิดถึงอนาคตอีกไกลข้างหน้า มันทำให้เราคิดถึงผู้ที่ควบคุมชีวิตมนุษย์ คิดถึงบั้นปลายของตัวเอง คิดถึงความเป็นจริงในปัจจุบันว่าจะหาความวุ่นวายอะไรกันนักกันหนา ในเมื่อความตายจะย่างกรายเข้ามาเมื่อใดก็ได้

 

มอบความเงียบเป็นของขวัญให้กับชีวิต ในขณะที่คนอีกมากมายลืมชีวิตของพวกเขา !

 

นิยามแห่งความสุข

จะเริ่มต้นอธิบายอย่างไรให้เข้าใจว่า มีช่องทางที่สามารถนำความสุขให้ชีวิตได้นับสิบนับร้อย มันขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละคน นอกเหนือจากความสุขที่มนุษย์ทุกคนต่างยอมรับด้วยการเห็นพ้องและสัมผัสได้ทั่วกัน

ความสุขคือการเข้าใจ เข้าใจว่าชีวิตอยู่ในกำหนดของผู้ลิขิตไม่ว่าจะยามดีหรือร้าย เมื่อเข้าใจก็ย่อมไม่วุ่นวาย เพียงใจยอมรับและปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามเส้นทางของมัน เหมือนสายน้ำที่ไหลเรื่อยๆ ไปตามกระแส บางช่วงก็นุ่มนวล ครั้นเมื่อปะทะหินก็ดังสาดซ่า
 
การเข้าใจกฎเกณฑ์ไม่ได้เป็นการละเลย แต่เป็นการทำให้ดีที่สุดโดยไม่ยึดติดว่ามันต้องเป็นอย่างที่คิดเสมอ
 
ความสุขคือการมอบตนให้กับเจ้าของเพียงผู้เดียว เที่ยวคอยแสวงหาความโปรดปรานและความไว้วางใจจากเขาผู้นั้น คราใดที่เผลอทำผิดก็รีบรุดกลับไปวอนขอโทษ ผูกพันเสียยิ่งกว่าเป็นคนรัก หัวใจที่มอบตนรู้ดีว่าความรู้สึกนี้เป็นอย่างไร บางครั้งก็ละอายคละเคล้ากับความรู้สึกกลัวและขยาด เป็นอยู่ครู่เดียวพอนึกได้ว่าความรักของผู้ที่ยิ่งใหญ่แม้ฟ้าอันไพศาลก็มิอาจจุไว้ หัวใจที่ห่อเหี่ยวก็กลับสดชื่นขึ้นโดยพลัน
 
มนุษย์มิอาจหนีพ้นจากการต้องทำผิด แต่มนุษย์ก็มีสุขเมื่อชนะตนเพราะยับยั้งไม่ให้เกิดความผิดได้ หรือเมื่อรู้ว่าความผิดของตนจะได้รับการอภัย
ความสุขคือการเป็นมิตร มองในแง่ดีกับทุกสิ่งรอบข้าง วัตถุที่ไม่มีชีวิตแม้จะไม่รับรู้ความเจ็บปวด แต่ความสุขจะเกิดขึ้นได้อย่างไรถ้าเราไม่รู้จักรักและถนอมสิ่งที่เราครอบครอง เป็นเพียงแต่ใช้ ปล่อยให้มันแตกหัก หกล้มระเนระนาด ไม่รู้จักจัดให้เป็นระเบียบ พฤติกรรมเช่นนี้บอกว่าเราขาดความละเอียดอ่อน ไร้ความนุ่มนวล ไม่มีนิสัยของการเห็นใจ ทั้งๆ ที่ลักษณะเล็กๆ ที่เรามองข้ามมีคุณค่าที่สร้างความสุขได้
 
เป็นมิตรกับคน คือการทำตนให้ผู้อื่นรัก ไม่ใช่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่เป็นแต่รับและไม่รู้จักยื่น
 
ความสุขคือความโล่งใจ คือหัวใจที่ไม่ต้องคิดแค้นคนอื่น คือชีวิตที่มีคุณค่าด้วยความรักและการให้ โดยไม่ต้องหวังอะไรที่เป็นผลทางวัตถุ เป็นคนที่ไม่ต้องแข่งขัน หากแต่ปล่อยให้เป็นอิสระตามสภาวการณ์ รู้จักตน รู้จักคนอื่น ไม่สูงแต่ไม่เป็นเหยื่อใคร
 
อะไรคือความสุขที่เราต่างใฝ่หา ถ้าชีวิตบนโลกนั้นแสนสั้นมีใครคิดจะเตรียมการสำหรับความสุขอันยาวนานไม่สิ้นสุดบ้าง?
 
แท้จริงบรรดาผู้ยำเกรงนั้นจะได้อยู่สวนสวรรค์และความสุขสำราญ ได้รับความสุขอันล้นพ้นด้วยสิ่งที่องค์อภิบาลประทานให้ พระองค์ทรงคุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากเปลวไฟอันร้อนแรงจงกินและจงดื่มด้วยความสำราญเถิด ตามที่พวกเจ้าได้ทำดีไว้ พวกเขาได้นอนอย่างเอกเขนกบนเตียงที่เรียงเป็นแถว และเรายังให้มีคู่ครองแก่พวกเขาเป็นสาวดวงตาสวย (ความหมายจากสูเราะฮฺ อัฏ-ฏูรฺ อายะฮฺที่ 17-20)
 
และเราจะเพิ่มพูนแก่พวกเขา ให้มีผลไม้และเนื้อตามที่พวกเขาปรารถนา พวกเขาจะแลกเปลี่ยนถ้วยแก้วกันในสวรรค์ ไม่มีพูดไร้สาระ ไม่มีการทำบาป รอบๆ ตัวพวกเขามีเด็กรับใช้ที่คอยวนเวียน ซึ่งงดงามบริสุทธิ์เสมือนหนึ่งไข่มุกที่ถูกห่อหุ้ม (ความหมายจากสูเราะฮฺ อัฏ-ฏูรฺ อายะฮฺที่ 22-24)
 
ความสุขคือการรู้ รู้ตัวตนที่แท้จริงของชีวิตโลก รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้ได้รางวัลเป็นความสุขในโลกนิรันดร์
 

มอบความสุขให้กับตัวเอง ด้วยการเรียนรู้วิถีที่แท้จริงของชีวิต

 

คุณค่าคือการให้

น่าคิด สำหรับใครก็ตามที่พยายามจะหาความหมายของความสุขในชีวิตให้พบ .. ความหมายของการอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์มีอะไรเป็นตัวแปรที่สามารถจรรโลงความเรียบง่ายที่เปี่ยมสุขได้บ้าง ?

อาจจะเป็นความรัก เพราะมันเป็นความรู้สึกที่นิ่มนวล แม้จะสัมผัสได้ แต่ก็ยากที่จะหาคำมาพรรณนา ความรักอาจจะเป็นความรู้สึกที่ดี และมันก็คงจะดียิ่งกว่าถ้าหากความรักถูกนำมาแปรให้กลายเป็นรูปธรรม เป็นคำพูด เป็นการกระทำ เป็นการให้ หรืออะไรบางอย่างที่มองเห็นผล
หลายชีวิตที่ขวนขวาย ผู้คนมากมายอุทิศเวลาเพื่อการงาน โดยหวังเพียงเพื่อตัวเอง เพื่อความสุขที่ตนปรารถนา อาจจะมีน้อยคนที่รู้ว่าข้างหลังของความเหน็ดเหนื่อยนั้นยังมีสิ่งหนึ่งซุกซ่อนอยู่ เป็นใครก็รู้ได้ถ้าเพียงเขาคิดว่าสิ่งที่ตนทำมีส่วนเพื่อผู้อื่นอยู่ด้วย
น่าแปลกมาก ที่พระเจ้าทรงบอกเราว่าพระองค์สร้างสรรพสิ่งทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ ดูเหมือนมนุษย์จะไม่รู้จักอะไรนอกจากการใช้และรับประโยชน์จากการให้ของสรรพสิ่งเหล่านี้ ทุกอย่างบนโลกจึงกลายเป็นของมีค่า มีคุณค่าที่ให้แก่มนุษย์ไม่รู้จบ คงมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่คิดสร้างคุณค่าและมอบให้คนอื่นไม่เป็น หรืออาจเป็นบ้างเพียงเล็กน้อย
ถ้าเรารู้จักเพียงแค่การฉกฉวย แก่งแย่ง หรือแบมือรับ เมื่อไรที่ต้องสูญเสียบ้างคงอาจจะรู้สึกหนักหนาเอาการ แต่ถ้ารู้จักให้ถึงต้องเสียก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไร
 
คุณค่าของการให้คือการที่ต้องสู้กับอารมณ์ข้างในไม่ให้ละโลภ ไม่ใช่มุ่งแต่อยากจนหูตาลาย
การให้ไม่ได้เป็นการสูญเสีย เป็นเพียงการแบ่งปัน เป็นการแลกเปลี่ยน เป็นการรับในเชิงสวน เพราะผู้ให้คือผู้ที่ได้รับความรักจากคนที่ถูกให้
 
บุรุษหนึ่งที่รู้จักแต่ให้ ได้ถูกจารึกไว้ในคัมภีร์อันสูงส่ง "แท้จริงมี เราะสูลคนหนึ่งจากพวกท่านเองได้มายังพวกท่านแล้ว เป็นที่ลำบากใจแก่เขาเมื่อเห็นพวกท่านทุกข์ยาก เป็นผู้ห่วงใยพวกท่าน เป็นผู้เมตตาผู้กรุณาสงสารต่อบรรดามุอ์มิน" (ความหมายจากสูเราะฮฺ อัต-เตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 128)
บุรุษผู้ซึ่งเปรียบตัวเองว่า อุปมาฉันกับพวกท่าน เหมือนชายผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้กองไฟ แล้วพวกแมลงก็กรูบินเข้าไปหากองเพลิงนั้น ในขณะที่เขาคอยไล่และปกป้องพวกมันไม่ให้เข้าไป เหมือนฉันที่คอยกำชับตักเตือนและยื้อฉุดพวกท่านให้ปลอดภัยจากนรก แต่ก็มีพวกท่านที่ได้สะบัดตัวเองจนหลุดจากมือฉัน (เศาะฮีหฺ อัล-ญามิอฺ 5859)
ให้สิ่งใดจะเทียบได้เท่าให้ชีวิต ให้หนทางที่มีแสงสว่างสองไสวแก่ผู้ที่มืดบอด ให้หัวใจได้รอดพ้นจากความชั่วที่คอยจะขย้ำขยี้ ให้คนอื่นปลอดภัยจากการต้องโทษและทรมาน เป็นทางเดินที่ไม่มีความน่ากลัว คือหนทางที่ไม่ต้องรวนเรอีก มันคือเส้นทางชัย เราจะตาย เราทำอะไรบ้างเพื่อความตายที่มีคุณค่า
อย่าอยู่เพียงเพื่อมองตัวเอง ลองเหลียวแลผู้คนอีกมากมายรอบข้าง แล้วเราจะรู้ว่าสังคมน่าเวทนาเพียงใด อารยธรรมแห่งบาปที่ครอบงำพวกเรา มันชั่วร้ายกว่าถูกโจมตีด้วยสงครามเสียอีก ใครที่จะเป็นผู้ปลดปล่อยได้ ถ้าไม่ใช่คนที่รู้และมีคุณธรรมอยู่ในใจ
การให้มิได้เป็นเพียงคุณค่า เพราะการให้คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ ที่ต้องเสียสละ ทุ่มเท การให้ที่สูงสุดคือการให้ชีวิตตนเพื่อชีวิตของคนอื่น อันสมควรที่จะต้องได้รับรางวัลที่สูงสุดเช่นกัน
เมื่อคิดอยากจะให้ก็ต้องเหนื่อย เมื่อเหนื่อยจึงจะรับรู้คุณค่าของชีวิต ว่าเราเกิดมามิได้เพื่อเป็นเลขศูนย์
 

ก่อนกาลอันวุ่นวาย

มนุษย์คือสัญลักษณ์ของความเหลวไหล การใช้ชีวิตอย่างหลงลืมเป็นวิถีที่ได้รับความสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด เพราะในความหลงลืมมีแต่ความสุข มีเสียงหัวเราะที่สนุกสนานมีความสะดวกสบายและความรู้สึกปลอดภัย

บางครั้งการหลงลืมของเราก็หาใช่ตั้งอยู่บนสิ่งที่ผิดไม่ หลายครั้งด้วยซ้ำที่เราพบว่าสิ่งที่ไม่เป็นบาปก็เป็นการทดสอบที่น่ากลัว ความสวยงามของวัยหนุ่มสาว การเป็นมิตรและเพื่อนฝูง งานและการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของชีวิต ลูกหลานและทรัพย์สิน หลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เราเคลิบเคลิ้ม และหลงเสียดายไม่กล้าผละจากไปอยู่ในขณะนี้ คือม่านบังตาที่ทำให้เราไม่สามารถมองผ่านไปยังความโกลาหลอันวุ่นวายข้างหน้า

สำหรับผู้ที่เข้าใจศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆ รอบตัวที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปร ถ้าเราต่างสังเกตการเดินทางของชีวิตโลกเพียงแค่ชั่วครู่หนึ่ง แน่แท้เราจะได้พบว่า นับวันยิ่งมีชีวิตอยู่นานต่อไป คำบอกเล่าหลายๆ อย่างของคำสอนอันสูงส่ง เริ่มแสดงความจริงให้เห็นเป็นประจักษ์แก่มนุษย์ทุกผู้บนโลกทีละอย่างไป

หามีปีใดหรือวันใดที่มาถึง นอกเสียจากมันต้องย่ำแย่หรือเลวกว่าวันก่อนๆ ที่ผ่านมา จวบจนถึงเวลาที่พวกท่านได้พบองค์อภิบาล(โดยอัล-บุคอรีย์ ดู เศาะฮีหฺ อัล-ญามิอฺ 7068 และ 7576)

 

 วันแห่งการคิดบัญชีนั้นได้ใกล้เข้ามายังมนุษย์มากนักแล้ว ในขณะที่พวกเขายังคงอยู่ในความหลงลืมและผินหลังให้ (ความหมายจากสูเราะฮฺ อัล-อันบิยาอฺ อายะฮฺที่ 1)

 
ก่อนวันแห่งโลกพินาศ จะมีกลียุคที่เต็มไปด้วยการทดสอบ ทดสอบความเข้มแข็งของเมล็ดพันธุ์อีมาน ความวุ่นวายที่จะฉุดมนุษย์ให้อยู่ในวงล้อของสังคมที่เสื่อมโทรม สังคมของฝูงชนที่มีศีลธรรมลดน้อยลงมากขึ้นทุกวัน ความสะเปะสะปะ ความสกปรกของตัณหา ความไร้ยางอาย การครอบงำของด้านมืดในจิตใจ แพร่กระจายเข้าไปทุกที่ทุกแห่งที่มีมนุษย์อาศัย โดยเครื่องมือที่ถูกผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยี
 
นับวันหัวใจยิ่งสับสนมากขึ้น เพราะความทันสมัยของเทคโนโลยีที่เราใฝ่หา ถูกสอดแทรกด้วยความสกปรกของการขาดจริยธรรม เป็นเครื่องล่อให้เราติดกับอย่างหนีไม่พ้น
 
นับวัน ยิ่งมีชีวิตอยู่นานต่อไป ผู้คนยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น เพราะเสียงอึกทึกของสงคราม อาชญากรรม โศกนาฏกรรม การฆ่าฟัน เสียงปืนและลูกระเบิด ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดังถี่ขึ้นทั่วทุกมุมโลก มันจะมีเยอะขึ้น เพราะนี่เป็นสัจธรรม เป็นการเตรียมพร้อมเข้าสู่กาลแห่งความวุ่นวาย
 
แท้จริง ในจำนวนสัญญาณวันโลกาวินาศนั้นคือความรู้(ที่เป็นแสงส่องทางชีวิต)จะถูกยกขึ้น ความไร้จริยธรรมจะเด่นชัด การผิดประเวณีจะแพร่ไปทั่ว ผู้คนจะเสพของมึนเมา ผู้ชายจะเสียชีวิตจนเหลือน้อยจะมีแต่ผู้หญิงเสียส่วนมาก จนกระทั่งผู้หญิงห้าสิบคนจะมีผู้ชายที่รับผิดชอบเพียงคนเดียว (เศาะฮีหฺ อัล-ญามิอฺ 2206)
 
สุดท้าย สิ่งที่เราทำได้คือการบังคับตัวเองให้เตรียมตัว ฉกฉวยเวลาและโอกาสที่เหลืออยู่เพื่อสร้างคุณความดี ความดีที่จะเป็นสัมภาระในช่วงวันที่ต้องอยู่คนเดียวในสุสานที่แสนคับแคบและมืดมิด ก่อนกาลอันวุ่นวาย ที่จะไม่เหลือเวลาให้เราได้คิดทำอะไรอีกต่อไป

 

“จงรีบเร่งปฏิบัติคุณก่อนถึงกาลอันแสนวุ่นวายน่ากลัว เสมือนหนึ่งค่ำคืนที่มืดมิด เวลานั้นคนผู้หนึ่งจะตื่นเช้าขึ้นมาด้วยอีมาน พอตกค่ำเขากลับกลายเป็นกาฟิรฺ หรือตอนเย็นเป็นมุอ์มินแต่พอตื่นเช้าก็เป็นกาฟิรฺ เขาขายศาสนาด้วยเพียงทรัพย์ดุนยาอันน้อยนิด” (เศาะฮีหฺ อัล-ญามิอฺ 2814) 

ความว่างเปล่าที่มีชีวิต

อีกกี่วันจะถึงเวลาของการจากชีวิตโลกตลอดไป เมื่อไรที่เราจะหยุดหายใจเสียที ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเครียด ไม่มีงานที่ต้องทำ ไม่มีเรื่องที่ต้องพูด ไม่ต้องคิด ไม่ต้องวางแผน หยุดทุกอย่างที่ทำอยู่

เหตุใด ไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะพูดถึงความตาย มันน่ากลัว และน่าหน่ายแหนงถึงขนาดที่ไม่มีใครยอมคิดและไม่ยอมพูดถึงมันเลยเชียวกระนั้นหรือ  ไม่มีใครอยากตาย ทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไงเสียตัวเองก็ต้องตาย ไม่เร็วก็ช้า ไม่อยากตายเพราะยังสบายอยู่บนโลกที่สดสวยใบนี้
 
เชื่อหรือไม่ว่า แท้จริงแล้วความตายก็ไม่ได้เจ็บปวดและน่ากลัวเท่าการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เลย หรือการมีชีวิตไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความน่ากลัว? ผู้คนที่มีชีวิตบางคน อยู่บนโลกยังเหมือนตายทั้งเป็น
 
ช่างน่าสมเพชชีวิตที่ถูกขายให้กับความวุ่นวายบนโลกนี้ เราไล่ล่าหามันเสมือนนั่นคือที่สุดของการมีชีวิตเป็นมนุษย์
 
หลายครั้งที่เราจมอยู่ในภาวะที่ว้าวุ่น หลายเวลาที่เรามีงานต้องทำท่วมหัว เครียด มันพาให้เราหมดแรง ในขณะที่สิ่งที่เราได้กลับมา ไม่มีคุณค่าอะไรให้ยั่งยืนบ้างเลย และแล้วอีกไม่นานต่อมา พอหายเหนื่อยแล้ว ความวุ่นวายเดิมๆ ก็หวนกลับมาหาอีกครั้ง และหมุนเวียนไปจนถึงวินาทีที่กำหนดแห่งความตายมาถึง
 
จะเป็นเช่นไร ถ้าเราเข้าใจที่จะมองว่า ความตายคือดินแดนแห่งการพักผ่อน เป็นการหนีพ้นโลกที่สกปรก และวุ่นวาย ที่ยิ่งนานวัน ความน่าเบื่อและความน่ากลัวดูยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
 
สำหรับคนที่ตั้งเป้าหมายชีวิตไว้ด้วยเกณฑ์ของโลกหน้า และคนที่เตรียมตัวเพื่อการมีชีวิตอันยาวนานหลังหมดลมหายใจ ความตายไม่ใช่เรื่องแปลก การสิ้นใจเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นสู่การมีชีวิตใหม่ ที่ปราศจากความเหน็ดเหนื่อย ทุกข์โศก และความเจ็บปวด เป็นแค่ช่วงเวลาของการพักรอ เพื่อรับมอบที่พำนักใหม่อันสถาพรตลอดกาลให้เขา
 
ความตายไม่ใช่การสิ้นสุด ผู้คนที่ยังมีชีวิตจึงไม่ควรคิดที่จะใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยตามความต้องการของอารมณ์และตัณหา
 
โลกคือสถานที่ของการปฏิบัติการงานอันเป็นคุณความดี เป็นสัมภาระเดียวที่ถูกอนุญาตให้นำติดตัวเมื่อย่างเข้าสู่โลกใหม่ที่เดียวดาย โลกแห่งสุสานไม่ใช่โอกาสของการทำงานอีกต่อไป ช่วงเวลาแห่งการเตรียมตัวมีจำกัดเฉพาะอายุขัยในโลกนี้เท่านั้น
 
อาจจะมีหลายคนที่ไม่เชื่อเช่นนี้ แต่คนที่เชื่อก็หาได้เสียหายอะไรเลยไม่ หนำซ้ำผู้ที่ไม่ศรัทธาย่อมมีแต่เสียหายกับเสียเปรียบ เพราะต่อไปถ้าสิ่งที่พวกเขาคิดกลับไม่ใช่อย่างที่คิด พวกเขามีอะไรบ้างสำหรับความกระทันหันนั้น
 
ในขณะที่ผู้ศรัทธาใช้ชีวิตอยู่บนโลกโดยไม่เดือดร้อน เพราะพวกเขาพร้อมที่จะพบกับสิ่งที่ต้องพบ แค่การเตรียมตัวด้วยการภักดีองค์ผู้เป็นเจ้า มิได้ทำให้พวกเขาต้องเสียแรงจนต้องเหน็ดเหนื่อยมากมายเลย
 
ในเมื่อโลกหนีความเหน็ดเหนื่อยและความวุ่นวายไม่พ้น ทำไมเราจึงไม่เหนื่อยให้ได้ประโยชน์ยาวนานเลยไปถึงชีวิตใหม่ข้างหน้า อย่าได้เหนื่อยแบบไร้ประโยชน์หรือเสียเปล่า

 

ถ้ามิเช่นนั้น คงไม่ผิดถ้าจะตีความว่า ... แท้จริงแล้ว ลมหายใจนี้ก็คือ ความว่างเปล่าที่มีชีวิต !

 

โอ้ดวงจิตที่สงบนิ่ง

นานมาแล้ว ที่ความยุ่งเหยิงอันสับสนเวียนวนอยู่ในหัวใจ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ค้นหามาตลอดว่าอะไรคือทางออกที่ดีที่สุด เพราะโลกแท้ๆ เลย ทำไมโลกจึงเต็มไปด้วยความวุ่นวายเช่นนี้ ไม่มีทางออกง่ายๆ ให้หลุดพ้นจากความวุ่นวายได้เลยกระนั้นหรือ

อีกนานที่คงต้องติดอยู่ภายใต้เขตกักกันแห่งนี้ บางทีบางครั้งเหมือนตัวเองถูกขังอยู่ใต้บาดาลลึกที่มิอาจโผล่หัวขึ้นเหนือน้ำเพื่อระบายความอึดอัดได้ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนี้ ไม่รู้ที่จะอธิบายมัน

อาจจะเป็นเพราะเราต่างก็มีความปรารถนา ความฝัน และความคาดหวัง อนาคตที่เราก่อมันขึ้นในจินตนาการ ความสุขที่ถูกระบายออกมาในห้วงแห่งความนึกคิด แต่มีผิดอยู่ที่เดียว โลกแห่งความเป็นจริงมันตรงกันข้าม ช่างโหดร้ายเสียนี่กระไร

คงเป็นเพราะเหตุนี้ การปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างความรู้สึกภายในกับของจริงภายนอกจึงเกิดขึ้น และสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิตในที่สุด ... ไม่น่าเชื่อ ในตัวมนุษย์เองก็มีสงคราม

สงครามของฝ่ายหนึ่งที่มีดวงใจอันรุ่มร้อน อัดสุมไปด้วยแรงปรารถนา ความฝัน กระวนกระวายอยากได้ กับอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นอุปสรรคมากหลายในชีวิตจริง กล้าแกร่งด้วยแรงต้านทาน แน่นหนาดุจกำแพงสิบชั้น บางครั้งก็สูงไกลเหมือนยอดเขาเสียดฟ้าไม่มีทางเอื้อมถึง

นานเท่าใดแล้วที่ดวงใจอันร้อนรนนำความทุกข์มาให้ชีวิต ด้วยเพียงอยากได้ความสุขหนึ่งที่อยู่ต่อหน้า โดยไม่อาจรู้ว่ามันจะใช่สุขแท้หรือไม่ใช่ก็เป็นได้ มันอาจจะอยู่กับเขานิรันดร์หรืออาจเพียงชั่วครู่ ที่สำคัญมันมีค่ากับชีวิตมากมายแค่ไหนเชียว ถึงต้องดิ้นรนปานฉะนี้

ดวงตาที่บอบบางมิอาจเห็นความทุกข์ตรมในใจได้เลย เพราะถูกบดบังด้วยสิ่งของที่วาดหวังว่าจะสร้างสุขให้ตนได้ อนิจจา ทุกครั้งที่ดวงใจถูกแผดเผาด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อน สังขารก็อ่อนแรงลงจนมิสู้รู้ได้ว่าจะอยู่ทันใช้ความสุขที่ไขว่คว้าอยู่หรือไม่ เช่นนี้หรือคือความสุขของชีวิต

สงบเถิดดวงใจเอ๋ย ทุกอย่างล้วนถูกลิขิตมาทั้งสิ้นแล้ว ไม่ผิดที่จะปรารถนา ไม่ผิดที่จะดิ้นรนขวนขวาย แต่จะได้ไม่ได้ ใช่เป็นเหตุให้ต้องทุกข์หรือโศกเศร้าอาดูร เพราะแค่ชีวิตที่ได้รับมาก็เหลือคณาที่จะใช้แทนแล้ว

เหมือนรู้ว่าชีวิตมิอาจสงบสุขหากดวงใจไม่สงบนิ่ง แต่จะทำให้เป็นจริงดังนั้น ก็ใช่จะทำได้ง่ายๆ ตราบใดที่สองตายังได้แลเห็นความสวยงามมากมายในโลกที่ล้วนยั่วยวนให้ชวนอยาก และปลุกปล้ำหัวใจจนไม่อาจเย็นอยู่ได้

มิน่าเล่า องค์อัลลอฮฺผู้เป็นเจ้าจึงเตรียมรางวัลอันยิ่งใหญ่ให้บรรดาผู้ที่มีใจสงบนิ่ง เพราะแน่แท้หัวใจเช่นนั้นคือดวงจิตที่แข็งแกร่ง ผ่านการทดสอบอันหนักหน่วงของโลกได้สำเร็จ สมควรต้องได้รับการตอบแทนเป็นสวรรค์ชั้นเลิศหรูและเปี่ยมสุขนิรันดร์

ในวันที่พระองค์ทรงเรียกดวงใจเหล่านั้นว่า “โอ้ดวงจิตที่สงบนิ่งเอ๋ย จงกลับไปหาผู้อภิบาลของเจ้าอย่างพอใจและด้วยความพอพระทัยของพระองค์เถิด เมื่อนั้นเจ้าจงเข้าเป็นหนึ่งในจำนวนบ่าวของฉัน และจงเข้าพำนักในสวรรค์ของฉันเถิด” (ความหมายจากสูเราะฮฺอัล-ฟัจรฺ อายะฮฺที่ 27-30)

โอ้ดวงจิตแห่งอาเพศชนทั้งหลาย พวกท่านมิใคร่อยากและปรารถนาจะเป็นเช่นนั้นบ้างหรือกระไร ?

 

ไยต้องหนีชีวิต ?

ยิ่งแก่มากขึ้นยิ่งมีอายุเพิ่มขึ้นได้เรียนรู้ชีวิตโลกมากขึ้นไปอีกอยู่ในโลกมานานจนเห็นว่าอะไรๆ รอบๆ ตัวช่างเวียนวนซ้ำซากเสียเหลือเกิน จนไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่อีกเพื่ออะไร ?

มีไหม มนุษย์ที่คิดกบฏกับตัวเอง ไม่อยากเป็นมนุษย์ หรือไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกแสนสวยใบนี้ ? หรือโลกสวยจนไม่มีใครกล้าคิดจะทิ้งจากมันไป ?
 
โลกสวย ไม่มีผู้ใดปฏิเสธ แต่โลกก็ยังเต็มไปบททดสอบสำหรับชีวิต ซึ่งมิอาจมีผู้ใดกล้าค้านได้อีกเช่นกัน ความสวยงามของชีวิตโลกนับได้ว่าเป็นบททดสอบประการแรกของมนุษย์ด้วยซ้ำ
 
แท้จริงแล้วโลกเป็นสิ่งที่สวยหวานและเขียวสดและองค์ผู้อภิบาลได้มอบให้พวกท่านได้อาศัยอยู่ในนั้นเพื่อพระองค์จะได้เห็นว่าพวกท่านจะปฏิบัติเยี่ยงไรดังนั้นจงระวังโลกและจงระวังผู้หญิง(รายงานโดยมุสลิม 6883)
 
โลกมีสองด้านเสมอ แต่นึกบ้างไหมว่าบางครั้งสองด้านของโลกก็คือสิ่งเดียวกัน ความสุขกับความทุกข์ไม่ได้อยู่ไกลกันเลย เพราะในขณะที่เรากำลังหนีการทดสอบในชีวิตและมุ่งหาความสุขสบายที่ปรารถนา มีคราใดบ้างที่เรารู้สึกว่ากำลังเสนอตนต่อความทุกข์อันเกิดจากการต้องประสบกับบททดสอบในการไขว่คว้าตามหาสิ่งที่ปรารถนาเหล่านั้น
 
ที่แท้ เรากำลังหนีการทดสอบ ในขณะที่เรากำลังวิ่งเข้าหามัน
 
มนุษย์มีชีวิตได้อย่างไรถ้าไม่มีความสุข และมนุษย์จะเข้าใจความรู้สึกสุขได้อย่างไร ถ้าหากไม่เคยผ่านความรู้สึกทุกข์ ทำไมต้องวิ่งหนีความทุกข์ ทั้งๆ ที่ข้างหน้าก็มีความทุกข์รออยู่อีกเช่นกัน หรือ ณ ปัจจุบันไม่มีความสุขให้หาเลยเชียวกระนั้น ?
 
เพราะมัวแต่คิดทุกข์กับอนาคตและวันข้างหน้า จึงหาความสุขกับปัจจุบันมิได้ เป็นเช่นนี้ พอถึงวันพรุ่งนี้อีกกี่วันก็ใช่จะหาเจอความสุขที่ต้องการ
 
หรือโลกยังมีความสุขอื่นที่ไม่มีความทุกข์ใดๆ เจือปนเลย ... หรือความสุขในโลกเป็นสิ่งที่ยั่งยืนสถาพร หรือโลกที่เราเห็นไม่มีวันถึงกาลวสาน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มนุษย์มีอายุยืนพอที่จะใช้ความสุขนั้นได้หรือ ? สุดท้าย ความสุขในชีวิตมนุษย์ก็มีอายุถึงแค่วันตาย ..
 
ไยต้องหนีชีวิต ? ความทุกข์ในปัจจุบันไม่ได้เป็นสิ่งที่ยืนยงคงกระพัน ไหนความสุขที่เราค้นหามันอีกเล่า ก็ใช่ว่าจะยั่งยืนตลอดกาล  ทั้งสุขและทุกข์ย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนผันเช่นนี้ เป็นวัฏจักรแห่งชีวิตโลกทุกยุคทุกกาลสมัย
 
ชีวิตมีไว้เพื่อให้มนุษย์ได้ต่อสู้ ถ้าไม่ใช่เพื่อวันนี้ ก็เพื่ออีกวันหนึ่งที่เราไม่มีสิทธิใช้โอกาสเพื่อต่อสู้อีกต่อไป วันหนึ่งที่เราจะได้ใช้ชีวิตจริงๆ ด้วยความสุขหรือความทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
 
ชีวิตบนโลกนี้มิได้เป็นสิ่งใดเลย เว้นแต่ความรื่นเริงและการละเล่น ทว่า โลกหน้าต่างหากเล่า เป็นที่สำหรับชีวิตอันยั่งยืน หากแม้นพวกเขานั้นรู้(ความหมายจากสูเราะฮฺ อัล-อันกะบูต อายะฮฺที่ 64)
 
ถ้าความสุขและความทุกข์มากมายทั้งชีวิตของมนุษย์บนโลกนี้ เป็นเพียงแค่ความรื่นเริงและการละเล่นที่ประเดี๋ยวเดียวก็จะจบลง แล้วความสุขและความทุกข์ของอีกชีวิตหนึ่งในโลกหน้านั้นจะเป็นเช่นไร ?
 
ไยต้องหนีชีวิต เพราะถึงอย่างไรวันหนึ่งชีวิตนี้ก็จะดับสูญ ... แล้วไยไม่สู้ชีวิต ถ้าเชื่อว่าวันหนึ่งเราต้องมีชีวิตอีกครั้ง ?